พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > โยนาห์หนี… แต่พระเจ้า

โยนาห์หนี… แต่พระเจ้า

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

หลาย ๆ ครั้งเมื่อเราฟังคำพยานของคนที่เป็นคริสเตียนว่ามาเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร คนส่วนใหญ่มักจะเล่าว่า เริ่มต้นจากการวิ่งหนีพระเจ้า วิ่งหนีการทรงเรียกของพระองค์ “แต่พระเจ้า” ได้ทำบางสิ่งบางอย่าง ทำให้เกิดการกลับใจใหม่ จึงหันมาเชื่อและติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อจนถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกับเรื่องราวของโยนาห์ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าสั่งให้เขาไปยังเมืองนีนะเวห์เพื่อประกาศให้คนกลับใจใหม่ ให้ชาวเมืองนั้นหันหลังจากทางแห่งความชั่ว แต่สิ่งที่โยนาห์ตอบสนองต่อการทรงเรียกก็คือ การหนีไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า “แต่พระเจ้า” ได้ทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้น จนในที่สุดโยนาห์ก็กลับมาอยู่ในทางที่ควรจะเป็น

1. พระเจ้าใช้เราได้ในทุกสถานการณ์ แม้ว่าเราจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

พระเจ้าเรียกให้โยนาห์ออกไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ แต่สิ่งที่โยนาห์ทำก็คือการวิ่งหนีจากพระพักตร์พระเจ้าและไปยังเมืองทารชิช เมืองนีนะเวห์ในปัจจุบันก็คือเมืองโมโซล (Mosul) ประเทศอิรัก โดยเมืองนี้อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 1,100 กิโลเมตร ส่วนเมืองทารชิชห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 3,500 กิโลเมตร คาดว่าเมืองนี้ในปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ประเทศสเปน

โยนาห์หนี… แต่พระเจ้า

โยนาห์ได้หนีพระเจ้าไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอกให้ไป โยนาห์รู้หรือไม่ว่าเขาไม่สามารถหนีพระเจ้าพ้น? แน่นอนโยนาห์ย่อมรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหนีพระเจ้าได้ เพราะโยนาห์เป็นคนที่รู้จักพระคัมภีร์ดี และเขาก็คงจะคุ้นเคยกับสดุดี 139 ที่กษัตริย์ดาวิดเป็นคนเขียน ซึ่งบางส่วนได้กล่าวไว้ดังนี้

“พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง และวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์ ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนักจนข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้? หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์? ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ก็สถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนคนตาย พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะบินไปไกลถึงที่ตะวันออก หรือถ้าข้าพระองค์อาศัยอยู่สุดขอบทะเลตะวันตก แม้ที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะจูงข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะฉวยข้าพระองค์ไว้” สดุดี 139:5 – 10

แม้ว่าในตอนแรกโยนาห์จะวิ่งหนีพระเจ้าเพื่อที่จะไม่ต้องรับใช้พระองค์ เขาไม่อยากประกาศพระนามของพระองค์เพื่อให้คนกลับใจใหม่ แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือ เขากลับเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัวให้กับผู้คนต่าง ๆ ที่ร่วมเดินทางบนเรือไปกับเขาด้วย

ในโยนาห์บทที่ 1 ได้เล่าเรื่องราวของการทรงเรียกโยนาห์ให้ไปกล่าวโทษเมืองนีนะเวห์ เพราะเขาทำชั่วหนัก แต่โยนาห์ได้ลงไปยังเมืองยัฟฟาและลงเรือกำปั่นลำหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองทารชิช “แต่พระเจ้า” ได้ทำให้เกิดลมพายุใหญ่ซัดเรือ คนบนเรือจึงจับฉลากว่าใครเป็นต้นเหตุ ผลก็คือฉลากตกมาอยู่ที่โยนาห์ เขาจึงถามโยนาห์ว่าเป็นใคร มาจากไหน โยนาห์จึงตอบว่า “ข้าเป็นคนฮีบรู และข้าเกรงกลัวพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง” และเขาได้เล่าว่าเขากำลังหนีการทรงเรียกของพระเจ้า วิธีที่ทำให้ลมพายุสงบก็คือให้โยนตัวเขาลงทะเล เมื่อคนบนเรือโยนโยนาห์ลงทะเลแล้ว คลื่นลมก็สงบ พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า “พวกเขาจึงจับโยนาห์โยนลงทะเล แล้วทะเลก็เงียบสงบจากความรุนแรง คนเหล่านั้นก็เกรงกลัวพระยาห์เวห์ยิ่งนัก พวกเขาจึงได้ถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์และได้บนบานไว้” แม้ว่าโยนาห์จะหนีจากการทรงเรียก แต่พระเจ้าแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ที่พูดแทนพระเจ้า เป็นผู้รับใช้พระองค์ แม้ว่าตอนนี้ชีวิตของโยนาห์จะออกห่างจากพระเจ้า แม้ว่าเขาจะหันหลังให้พระองค์ แต่พระเจ้าก็ยังสามารถใช้โยนาห์ประกาศพระนามของพระองค์ได้

2. ความรู้ที่มีอาจจะสวนทางกับการกระทำ

ขณะที่โยนาห์อยู่ในท้องปลานั้น ในโยนาห์ 2:1 บอกว่าโยนาห์ได้อธิษฐานต่อพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มเรื่องราวของโยนาห์มา เราเพิ่งจะเห็นเขาอธิษฐานในตอนนี้นี่เอง เป็นการอธิษฐานเมื่อต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก และคำอธิษฐานของโยนาห์นี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่รู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี

โยนาห์หนี… แต่พระเจ้า

คำอธิษฐานของโยนาห์ในโยนาห์ 2:1 – 9

“1 แล้วโยนาห์ก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจากภายในท้องปลานั้นว่า 2 “ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ในยามยากลำบาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลจากท้องของแดนคนตาย และพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพระองค์ 3 เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึก ในก้นบึ้งแห่งทะเล และน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ บรรดาคลื่นเล็กและใหญ่ของพระองค์ท่วมข้าพระองค์แล้ว 4 ข้าพระองค์จึงทูลว่า ‘ข้าพระองค์ถูกไล่ให้พ้นจากพระเนตรของพระองค์ ข้าพระองค์จะเงยหน้าดูพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์อีกได้อย่างไร?’ 5 น้ำก็ท่วมมิดตัวข้าพระองค์ ที่ลึกก็อยู่รอบตัวข้าพระองค์ สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะข้าพระองค์อยู่ 6 ที่รากแห่งภูเขาทั้งหลาย ข้าพระองค์ลงไปยังแผ่นดินซึ่งกลอนประตูปิดกั้นข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์ แต่กระนั้นก็ดี ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นมาจากหลุมมรณะ 7 เมื่อชีวิตของข้าพระองค์กำลังจะหลุดลอย ข้าพระองค์ระลึกถึงพระยาห์เวห์และคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ เข้าสู่พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์ 8 คนที่กราบไหว้รูปเคารพไร้สาระย่อมละทิ้งความจงรักภักดีของพวกเขาเสีย 9 แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์พร้อมด้วยเสียงขอบพระคุณ ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น ความรอดนั้นมาจากพระยาห์เวห์””

คำอธิษฐานของโยนาห์อ้างถึงพระคัมภีร์หลาย ๆ ตอน ดังนี้

โยนาห์ 2:2 อ้างจากสดุดี 18:6, 120:1 (ยามยากลำบาก)
โยนาห์ 2:3 อ้างจากสดุดี 88:6, 42:7 (ก้นบึ้ง, ลึก)
โยนาห์ 2:4 อ้างจากสดุดี 31:2, 42 – 43 (ร้องขอการช่วยกู้)
โยนาห์ 2:5 - 6 อ้างจากสดุดี 69:1 – 2 (น้ำท่วม)
โยนาห์ 2:7 อ้างจากสดุดี 77:11 - 12, 11:4, 18:6 (ระลึก, วิหารบริสุทธิ์)
โยนาห์ 2:8 - 9 อ้างจากสดุดี 50:14 และ 23, 3:8 (ถวายเครื่องบูชา, ขอบพระคุณ, ความรอดหรือการช่วยกู้มาจากพระเจ้า)

จะเห็นได้ว่าเมื่อคนเราตกอยู่ในยามยากลำบากนั้น เขาคงไม่มีเวลาที่จะมาประดิษฐ์คำอธิษฐานให้สวยหรู คำอธิษฐานนี้เป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่อยู่ลึก ๆ ในจิตใจของเขา เป็นการสะท้อนว่าโยนาห์รู้จักพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างดี และสิ่งนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา แต่การรู้พระคัมภีร์ดีไม่ได้เป็นการรับประกันว่าเราจะกระทำตามสิ่งที่พระคัมภีร์บอกนั้น

โยนาห์รู้ว่าพระเจ้าทรงเมตตาและไม่ปรารถนาที่จะให้ใครคนใดคนหนึ่งพินาศ แต่โยนาห์ไม่ชอบคนเมืองนีนะเวห์ และเพราะความขมขื่นของเขาที่มีต่อชาวนีนะเวห์นี้เอง ทำให้ความอคติบังตาใจของเขา ทำให้เขาเลือกทำในสิ่งที่จะต่อต้านพระเจ้า เลือกทำตามใจตนเองมากกว่าที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

เพื่อให้มองเห็นภาพมากขึ้น อยากให้เราลองนึงถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการสังหารคนยิวเป็นจำนวนมาก ถ้าหากในเวลานั้นพระเจ้าได้บอกกับรับบีคนยิวคนหนึ่งที่อยู่ที่นิวยอ์กว่าให้ไปยังประเทศเยอรมัน ให้ไปประกาศให้คนเหล่านั้นกลับใจใหม่ ให้หันจากความชั่วร้าย แล้วพระเจ้าจะยกโทษให้ ถามว่ารับบีคนยิวคนนี้จะทำอย่างไร? เขาอาจจะโกรธแค้นคนเยอรมันมากจนไม่อยากจะให้คนเหล่านี้พบกับความรอด เขาอาจจะนั่งเรือหนีไปอยู่ที่เกาะฮาวายก็เป็นไปได้ เช่นเดียวกัน ชาวเมืองนีนะเวห์ในสมัยนั้นเป็นคนโหดร้ายมาก ซึ่งไม่แตกต่างจากคนเยอรมันที่ทำโหดร้ายต่อคนยิว จึงไม่น่าแปลกหากโยนาห์จะขัดขืนคำสั่งพระเจ้า เพราะอยากให้คนนีนะเวห์ได้รับการลงโทษอย่างสาสม

การรู้พระคำพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเราจะดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า การรู้ความจริงไม่จำเป็นต้องทำตามความจริงนั้น เรามักมีปรัชญาของตนเอง ในด้านความคิด เราเชื่อพระเจ้า เราเชื่อพระเยซูว่าทรงเป็นพระเจ้าและทรงสอนถึงทางไปสู่พระบิดา แต่ในด้านการปฏิบัตินั้น เรามักไม่ทำตามในสิ่งที่เรารู้ เพราะถ้าหากเราทำตามแล้ว ทำไมถึงยังมีการโกงกัน ทำไมถึงยังมีความโลภเกิดขึ้น ทำไมถึงยังมีการทะเลาะวิวาท นั่นก็เพราะเรามักทำตามพระคำพระเจ้าก็ต่อเมื่อไม่ขัดกับความปรารถนาในใจของเราเท่านั้น เหมือนกับที่พระเยซูตรัสในลูกา 6:46 - 47 ว่า “ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น? ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเราแล้วทำตาม เราจะสำแดงให้พวกท่านรู้ว่าเขาเป็นเหมือนอะไร” พระเยซูยังบอกอีกว่าความสุขจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่แค่ฟังพระวจนะเท่านั้น แต่ต้องทำตามด้วย เหมือนกับที่พระองค์ตรัสไว้ในลูกา 11:28 ว่า “คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้วถือรักษาไว้ต่างหากที่เป็นสุข”

3. การทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เรื่องของโยนาห์ได้ให้บทเรียนกับเราในการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าก็คือ เมื่อเราไปตามทางของเรา เราไม่มีทางถึงจุดหมายแถมยังต้องเสียเงินด้วย แต่ถ้าเราไปตามทางของพระเจ้า เราไปถึงจุดหมายได้โดยไม่ต้องเสียเงินทองใด ๆ เราจะเห็นได้ว่าโยนาห์ได้ไปยังเมืองยัฟฟาและพบเรือที่จะไปยังทารชิช เขาจึง “ชำระค่าโดยสาร” และลงเรือโดยสารร่วมเดินทางกับเขาทั้งหลาย แต่สุดท้าย โยนาห์ก็ไปไม่ถึงเมืองทารชิช

โยนาห์หนี… แต่พระเจ้า

เมื่อฟาโรห์สั่งให้ฆ่าลูกชายคนฮิบรูทั้งหมดที่เกิดมา แต่ลูกสาวให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ (อพยพ 1:22) แม่ของโมเสสไม่ทำตามคำสั่งของฟาโรห์ เธอได้ซ่อนโมเสสไว้ถึง 3 เดือน จากนั้นจึงให้พี่สาวโมเสสเอาทารกไปไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์และให้คอยดูอยู่ห่าง ๆ ลูกสาวของฟาโรห์มาพบจึงเกิดสงสาร จึงรับเลี้ยงไว้ พี่สาวโมเสสจึงอาสาหาคนมาดูแลให้ และได้พาแม่ของตนเองมาดูแล ธิดาของฟาโรห์ได้บอกกับแม่ของโมเสสว่า “รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้าง” (อพยพ 2:9) จะเห็นว่าเมื่อทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แม่ของโมเสสไม่เพียงแต่จะสามารถเลี้ยงดูลูกของตนเองได้อย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ยังได้เงินสำหรับการเลี้ยงดูลูกของตนเองด้วย และนี่คือพระพรของพระเจ้าในยามวิกฤตเมื่อเราเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์มากกว่าทำตามสติปัญญาของตนเอง

อยากให้เราลองถามตัวเองดูว่า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำบางสิ่งบางอย่าง เราจะตอบสนองต่อพระองค์อย่างไร? อยากให้เราจำสิ่งหนึ่งก็คือ เมื่อพระเจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมจะต้องสำเร็จแน่นอน แต่จะสำเร็จโดยที่มีเราเป็นส่วนร่วมหรือไม่เท่านั้นเอง

ในสมัยของเอสเธอร์นั้น มีชายคนหนึ่งชื่อฮามาน เขาต้องการทำลายชนชาติยิวทั้งหมดให้สูญสิ้นไป โมรเดคัยจึงบอกให้เอสเธอร์ช่วยกราบทูลอ้อนวอนกษัตริย์เพื่อขอความเมตตา แต่เอสเธอร์ได้บอกกับโมรเดคัยว่าถ้าหากเข้าเฝ้าพระราชาโดยที่ไม่ได้รับสั่งให้เข้าพบ เธอก็อาจจะถูกประหารได้ โมรเดคัยจึงให้คนแจ้งกลับไปยังพระนางเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดว่าเธออยู่ในพระราชวังแล้วจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวอื่น ๆ เพราะถ้าเธอเงียบอยู่ในเวลานี้ ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้” เอสเธอร์ 4:13 - 14

เมื่อพระเจ้าต้องการเรียกใครบางคนให้ทำงานรับใช้ พระเจ้ามีวิธีที่จะเรียกคน ๆ นั้นให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ว่าคน ๆ นั้นสำคัญต่องานที่พระเจ้ามอบหมายให้ แต่พระเจ้าทรงให้เกียรติคน ๆ นั้นได้มีโอกาสร่วมงานกับพระองค์ ได้มีโอกาสที่จะได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า แล้วเราจะตอบสนองต่อการทรงเรียกนั้นอย่างไร?

เมื่อพระเจ้าเรียกโยนาห์ให้ไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ โยนาห์วิ่งหนีพระเจ้า “แต่พระเจ้า” ได้ทำการของพระองค์ พระเจ้าได้ให้เกิดพายุใหญ่ในทะเล (โยนาห์ 1:4) พระเจ้าให้ฉลากที่จับตกลงที่โยนาห์ (โยนาห์ 1:7) พระเจ้าได้ทำให้ทะเลเงียบสงบ (โยนาห์ 1:15) พระเจ้าให้ปลามหึมาตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป (โยนาห์ 1:7) พระเจ้าสั่งปลาตัวนั้นให้สำรอกโยนาห์ไว้บนแผ่นดินแห้ง (โยนาห์ 2:10) และทั้งหมดนี่คือความสำคัญของคำว่า “แต่พระเจ้า” ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อให้คนของพระเจ้าหันกลับมาหาพระองค์

พระเจ้าไม่เคยบังคับใครให้ทำงานของพระองค์ แต่พระเจ้ามีวิธีที่จะทำให้เราคล้อยตามพระองค์เสมอ เหมือนโมเสสบอกฟาโรห์ให้ปล่อยคนของพระองค์ไป ฟาโรห์ไม่ยอม พระเจ้ามีวิธีของพระองค์โดยไม่ต้องบังคับฝืนใจฟาโรห์ พระเจ้าให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จนฟาโรห์ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลไป

หรือการทรงเรียกซามูเอล ซามูเอลตอบสนองต่อพระเจ้าทันที เขาถวายตัวรับใช้พระเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก และพระเจ้าได้ใช้ซามูเอลในงานของพระองค์อย่างมากมาย คำถามคือ เราจะอยากจะให้พระเจ้าทรงเรียกเราอย่างไร? เรียกเบา ๆ อย่างที่พระองค์ทรงเรียกซามูเอล หรือว่าเราต้องการให้พระเจ้าเรียกเราแบบหนัก ๆ ก่อน เราถึงจะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าวันนี้พระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำบางสิ่งบางอย่าง เราจะตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์อย่างไร?

“และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์เจ้านายตรัสว่า “เราจะใช้ผู้ใดไป? และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา? ” แล้วข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด”” อิสยาห์ 6:8


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com