คำเทศนา - วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของวันคริสต์มาส

บทนำ: คริสต์มาสมีความหมายมากกว่างานเฉลิมฉลองหรือไม่

ทุกปีเมื่อถึงเดือนธันวาคม หลายคนคุ้นเคยกับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง การประดับไฟ ต้นคริสต์มาส ของขวัญ อาหาร และเสียงเพลง แต่คำถามสำคัญคือ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของวันคริสต์มาสคืออะไร? หรือเป็นเพียงเทศกาลหนึ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป

หลายคนอาจรู้สึกว่าฟังเรื่องคริสต์มาสจน “เบื่อ” และคิดว่าไม่มีอะไรใหม่ให้เรียนรู้อีกแล้ว แต่หากเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง เราจะพบว่า คริสต์มาสไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเป้าหมาย และไม่ใช่เพียงการจัดงานวันเกิดให้พระเยซูอย่างผิวเผิน

แม้พระคัมภีร์จะไม่ได้สั่งให้คริสเตียนจัดงานวันประสูติของพระเยซู แต่การเสด็จมาบังเกิดของพระองค์มีวัตถุประสงค์ และการที่วันคริสต์มาสถูกกำหนดขึ้นในประวัติศาสตร์ก็มีเจตนาและเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อโลกจนถึงปัจจุบัน

คริสต์มาสในมุมมองพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์

ก่อนอื่นต้องเข้าใจตรงกันว่า

• พระคัมภีร์ ไม่เคยสั่งให้คริสเตียนจัดงานวันเกิดพระเยซู
• ไม่มีข้อพระคัมภีร์ใดระบุวันที่พระเยซูประสูติอย่างชัดเจน

ดังนั้น หากเราถามว่า “วัตถุประสงค์ของวันคริสต์มาสตามพระคัมภีร์มีหรือไม่” คำตอบคือ ไม่มีในเชิงคำสั่งโดยตรง แต่สิ่งที่มีอย่างชัดเจนคือ วัตถุประสงค์ของการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ และเพื่อเข้าใจวัตถุประสงค์ของคริสต์มาส เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญ 3 ประการในประวัติศาสตร์คริสเตียน

1. การข่มเหงคริสเตียนเกือบ 300 ปี: จุดเริ่มต้นของการแพร่ข่าวประเสริฐ

พระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ประมาณ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมา และสิ้นพระชนม์ราวปี ค.ศ. 30–33 (AD) หลังจากนั้นพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และมอบหมายภารกิจให้สาวกว่า

“จงไปประกาศชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการแพร่กระจายข่าวประเสริฐไปทั่วโลก

คริสเตียนในยุคแรกต้องแลกด้วยชีวิต

ในช่วงเกือบ 300 ปีแรก หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู คริสเตียนต้องเผชิญกับการข่มเหงอย่างรุนแรงจากทั้ง

• ผู้นำศาสนายิว
• อาณาจักรโรมัน

สาเหตุสำคัญคือ

• โรมันถือว่าจักรพรรดิเป็นเทพเจ้า
• ทุกคนต้องนมัสการจักรพรรดิ
• แต่คริสเตียนนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว

ผลคือ

• มีการสังหารคริสเตียน
• มีการจำคุก
• มีการบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน

การเชื่อพระเยซูในยุคนั้นหมายถึงการต้องเลือกเพียง 3 ทาง

• ยอมตาย
• ติดคุก
• ย้ายบ้าน ทิ้งอาชีพ และครอบครัว

มีการบันทึกว่ามีคริสเตียนเสียชีวิตจากการข่มเหงประมาณ 23,000 คน แต่ถึงอย่างนั้น ข่าวประเสริฐก็ยังไม่หยุดแพร่กระจาย เพราะไม่ว่าคริสเตียนจะย้ายไปที่ใด พวกเขานำพระเยซูไปด้วยเสมอ

2. จักรพรรดิคอนสแตนติน: จุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์คริสเตียน

การขึ้นครองราชย์ของคอนสแตนติน

ในปี ค.ศ. 306 มีจักรพรรดิองค์หนึ่งขึ้นครองราชย์ในโรม ชื่อว่า คอนสแตนติน ต่อมาในปี ค.ศ. 312 ขณะเตรียมออกรบ เขาเห็นนิมิตเป็นสัญลักษณ์คล้ายไม้กางเขน หรือสัญลักษณ์ Chi-Rho (XP) ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า “พระคริสต์” เขาได้ยินเสียงกล่าวว่า “ด้วยสัญลักษณ์นี้ เจ้าจะมีชัยชนะ” คืนนั้นเอง เขาเห็นพระเยซูในนิมิต และได้รับคำสั่งให้นำสัญลักษณ์นี้ไปใช้กับกองทัพโรมัน ผลคือ เขาได้รับชัยชนะ

การยุติการข่มเหงคริสเตียน

หลังจากนั้น

• ปี ค.ศ. 312 คอนสแตนตินประกาศตนเป็นคริสเตียน
• ปี ค.ศ. 313 ออกกฎหมายให้คริสเตียนเป็นศาสนาที่ถูกกฎหมาย

การข่มเหงที่ยาวนานกว่า 300 ปีจึงสิ้นสุดลง นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่คริสเตียนจากคนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ กลายเป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับในจักรวรรดิโรมัน

3. ที่มาของวันคริสต์มาส: ทำไมต้องเป็นวันที่ 25 ธันวาคม

การกำหนดวันคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ

ประมาณ 24 ปีหลังจากคอนสแตนตินเชื่อพระเยซู ในปี ค.ศ. 336 ได้มีการกำหนดวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูอย่างเป็นทางการ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มเฉลิมฉลองอยู่แล้ว แต่ยังไม่เป็นทางการ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงการข่มเหง

วัตถุประสงค์หลัก 2 ประการของคริสต์มาส

การกำหนดวันคริสต์มาสมีวัตถุประสงค์สำคัญ 2 ประการ คือ
1. เพื่อให้เกียรติพระเยซูและคำสอนของพระองค์
คริสต์มาสถูกตั้งขึ้นเพื่อยกย่องพระเยซูคริสต์ และประกาศคุณค่าของคำสอนของพระองค์อย่างเปิดเผย

2. เพื่อสร้างเอกภาพในอาณาจักรโรมัน
ในเดือนธันวาคม เดิมชาวโรมันนมัสการเทพเจ้าหลายองค์

• 17–23 ธันวาคม: เทพเจ้าแห่งดาวเสาร์
• 25 ธันวาคม: เทพเจ้าดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยพ่ายแพ้

คอนสแตนตินจึงเลือกวันที่ 25 ธันวาคม เพื่อ “แทนที่” การนมัสการเดิมด้วยการนมัสการพระเยซูคริสต์

ทฤษฎีที่อธิบายการเลือกวันที่ 25 ธันวาคม

ทฤษฎีที่ 1: Calculation Theory (ทฤษฎีการคำนวณ)

คริสเตียนบางกลุ่มในสมัยนั้นเชื่อว่า

• พระเยซูสิ้นพระชนม์วันที่ 25 มีนาคม
• พระเยซูปฏิสนธิวันเดียวกัน
• เมื่อนับไปอีก 9 เดือน จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม

ทฤษฎีที่ 2: Replacement Theory (ทฤษฎีการแทนที่)

คาดหวังว่าวันคริสต์มาสจะ

• ค่อย ๆ แทนที่การนมัสการเทพเจ้าโรมัน
• เปลี่ยนผู้คนจากการนมัสดวงอาทิตย์ มาเป็นการนมัสการ “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม” คือพระเยซูคริสต์

ผลลัพธ์ที่เกินกว่าคอนสแตนตินคาดคิด

แม้คอนสแตนตินจะมีโอกาสฉลองคริสต์มาสเพียง ครั้งเดียวในชีวิต และสิ้นพระชนม์ไม่นานหลังจากนั้น แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ

• ปี ค.ศ. 380 อาณาจักรโรมันประกาศเป็นอาณาจักรคริสเตียนอย่างเป็นทางการ
• ข่าวประเสริฐแพร่กระจายไปทั่วโลก
• ปัจจุบันมีประเทศที่เฉลิมฉลองคริสต์มาสมากกว่า 160 ประเทศ

วัตถุประสงค์ของคริสต์มาสสำหรับคริสเตียนวันนี้

คริสต์มาสไม่ใช่แค่

• การกินอาหารอร่อย
• การแลกของขวัญ
• การร้องเพลง
• การจับฉลาก

แต่คือการเตือนใจว่า

• เราจะให้เกียรติพระเยซูหรือไม่
• เราจะดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์หรือไม่
• เราจะส่งต่อความรอดไปถึงผู้อื่นหรือไม่

คริสต์มาสอาจจัดปีละครั้ง แต่ วัตถุประสงค์ของคริสต์มาสควรอยู่กับเราทุกวัน

บทสรุป: ให้คริสต์มาสเกิดขึ้นทุกวันในชีวิตของผู้อื่น

คริสต์มาสอาจจบลงในเดือนธันวาคม แต่พันธกิจไม่ควรจบลง

วัตถุประสงค์ของคริสต์มาสคือ

• ให้เกียรติพระเยซู
• ให้เกียรติคำสอนของพระองค์
• เตรียมทางแห่งความรอดไปสู่คนมากมาย

ขอหนุนใจให้เรา

• ไม่ดำเนินชีวิตเพื่อตัวเอง
• แต่ดำเนินชีวิตเพื่อพระคริสต์และข่าวประเสริฐ

เพื่อให้คริสต์มาส ไม่ตายในยุคของเรา แต่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิตของผู้คนผ่านการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของวันคริสต์มาส

1. พระคัมภีร์สั่งให้จัดวันคริสต์มาสหรือไม่

ไม่ พระคัมภีร์ไม่ได้สั่งโดยตรง

2. ทำไมคริสต์มาสต้องเป็นวันที่ 25 ธันวาคม

เกิดจากการคำนวณและการแทนที่เทศกาลโรมัน

3. ใครเป็นผู้ทำให้เกิดคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ

จักรพรรดิคอนสแตนติน

4. คริสต์มาสมีเป้าหมายหลักอะไร

ให้เกียรติพระเยซูและส่งต่อความรอด

5. คริสต์มาสเกี่ยวข้องกับข่าวประเสริฐอย่างไร

เป็นเครื่องมือให้ข่าวประเสริฐเข้าถึงผู้คน

6. คริสเตียนควรปฏิบัติต่อคริสต์มาสอย่างไร

ใช้เป็นโอกาสประกาศความรอด

7. คริสต์มาสควรเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน

ควรเกิดขึ้นทุกวัน ผ่านชีวิตของผู้เชื่อ