คำเทศนา - สนิทมากขึ้นผ่านพิธีมหาสนิท ตอนที่ 2 (new setting)
คำเทศนาประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2568โดย ดร. จิโรจ บงกชมาศ
1 โครินธ์ 11:23-31
สรุปคำเทศนา - สนิทมากขึ้นผ่านพิธีมหาสนิท ตอนที่ 2 (new setting)
บทนำ: เมื่อชีวิตเผชิญ "หุบเขาเงามัจจุราช"
ในยามที่ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากแสนสาหัส ดุจดั่งเดินอยู่ใน "หุบเขาเงามัจจุราช" หรือหุบเขาแห่งความตาย ความกลัว ความกังวล และความไม่แน่นอน อาจเข้าครอบงำจิตใจจนยากจะก้าวเดินต่อไปได้ แต่ท่ามกลางวิกฤตการณ์เหล่านี้ เราสามารถค้นพบกำลังใจและหนทางในการผ่านพ้นไปได้ ด้วยบทเรียนอันล้ำค่าจาก สดุดี 23 บทเพลงที่กลั่นออกมาจากใจของกษัตริย์ดาวิด ผู้ซึ่งเผชิญกับช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในชีวิตของเขา
สดุดี 23 ไม่ใช่เพียงบทกวีหรือคำอธิษฐานธรรมดา แต่เป็นภาพสะท้อนแห่งความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ แม้ในยามที่ถูกไล่ล่าเอาชีวิตโดยอับซาโลม บุตรชายของตนเอง ดาวิดในวัยชราที่ร่างกายไม่แข็งแรงดั่งเดิม กลับเลือกที่จะหลั่งไหลความเชื่อ ความหวัง และการสรรเสริญออกมา เราจะมาเจาะลึกถึงหลักการสำคัญที่ทำให้ดาวิดสามารถเผชิญหน้ากับ "หุบเขาแห่งความตาย" ได้อย่างไม่หวั่นกลัว และนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราในยุคปัจจุบัน
สดุดี 23: บทเพลงแห่งความไว้วางใจ
ขอเชิญอ่านสดุดี 23 พร้อมกัน:
"พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรมเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะของข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ทีเดียว ที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิจการ"
จากพระธรรมตอนนี้ ดาวิดได้แสดงออกถึงความตั้งใจและการตอบสนองต่อพระเจ้าอย่างถูกต้อง ผ่าน "สามข้าพเจ้า" ที่สะท้อนถึงท่าทีแห่งหัวใจของเขา
1. "ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" (ข้อ 1)
คำว่า "ขัดสน" ในภาษาเดิมหมายถึงการขาดแคลนจนนำไปสู่ความล้มเหลว หรือการไม่สามารถดำเนินชีวิตกับพระเจ้าได้ ดาวิดประกาศอย่างหนักแน่นว่า แม้ต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหนาสาหัสใน "หุบเขาเงามัจจุราช" พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งให้เขาต้องขาดแคลนจนล้มเหลวในการดำเนินชีวิต หรือเลิกเชื่อในพระองค์ ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเงิน สุขภาพ หรือสิ่งอื่นใดจะติดลบเพียงใด ดาวิดยืนยันว่าเขาจะไม่ทิ้งพระเจ้า
นี่ไม่ใช่การปฏิเสธความจริงที่ว่าอาจมีบางช่วงเวลาที่ทุกสิ่งดูเหมือนขาดแคลน แต่เป็นการยืนยันว่า แม้ในยามนั้น เขาก็ยังคงมีเพียงพอที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเดินกับพระองค์ต่อไป
2. "ข้าพเจ้าจะไม่กลัวอันตรายใดๆ" (ข้อ 4)
การที่ดาวิดกล่าวว่า "จะไม่กลัว" ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความรู้สึกกลัวเลย ความกลัวเป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ที่เกิดขึ้นได้เมื่อเผชิญกับภัยคุกคาม แต่ดาวิดกำลังบอกว่า เขาจะไม่ยอมให้ความกลัวมาเป็นอุปสรรคในการเดินกับพระเจ้า ไม่ยอมให้ความกลัวมาบงการการตัดสินใจ หรือทำให้เขาหยุดเชื่อ หยุดรับใช้ หรือหยุดดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
ในสถานการณ์ที่มืดมิด ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หรือจะถูกจับได้เมื่อไหร่ ดาวิดเลือกที่จะไม่ยอมจำนนต่อความกลัว แต่กลับยืนหยัดในความจริงที่ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย
3. "ข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิจการ" (ข้อ 6)
"ข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิจการ" สะท้อนถึงความตั้งใจสูงสุดของดาวิด หากเขาต้องตายจากโลกนี้ไป เขาก็จะได้อยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ แต่หากเขายังมีชีวิตอยู่ ความตั้งใจของเขาก็คือการรับใช้พระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์ตลอดไป
ไม่ว่าสถานะกษัตริย์จะกลับคืนมาหรือไม่ หรือไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักของเขาคือการได้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าและรับใช้พระองค์ นี่คือมุมมองที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ที่มักจะยึดความสำเร็จส่วนตัว หรือการกลับคืนสู่สภาพเดิมเป็นเป้าหมายหลัก แต่สำหรับดาวิดแล้ว พระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์คือสิ่งสำคัญที่สุด
การเผชิญ "หุบเขาเงามัจจุราช" ด้วยการสรรเสริญ
นอกเหนือจากท่าทีแห่งหัวใจที่ถูกต้องแล้ว ดาวิดยังได้มอบบทเรียนสำคัญในการเผชิญกับ "หุบเขาเงามัจจุราช" ผ่านการสรรเสริญ
พลังของการสรรเสริญในยามวิกฤต
ในยามที่ตกต่ำที่สุด ถูกตามล่า และชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดาวิดกลับมีเวลาและกำลังใจในการแต่งเพลงสดุดี 23 สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า การสรรเสริญไม่ใช่เพียงกิจกรรมยามที่เรามีความสุขสบาย แต่เป็นแหล่งที่มาของกำลังในยามยากลำบาก เมื่อเรายกย่องพระเจ้าก่อน พระเจ้าก็จะทรงยกชูเราขึ้นในภายหลังบ่อยครั้ง เรามักจะเลือกอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ ก่อน เพราะดูเหมือนจะได้รับประโยชน์โดยตรง แต่การสรรเสริญและการขอบพระคุณพระเจ้ามักจะถูกมองข้าม เพราะต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญถึงพระคุณของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ดาวิดแสดงให้เห็นว่า การสรรเสริญพระนามของพระเจ้าก่อนนำมาซึ่งชัยชนะและพระพร
องค์ประกอบของการสรรเสริญที่แท้จริง
การสรรเสริญพระเจ้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่การร้องเพลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงออกผ่านการดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ:
- การให้เกียรติพระเจ้า: การจัดลำดับความสำคัญให้พระเจ้ามาเป็นอันดับแรกในทุกสิ่งที่เราทำและตัดสินใจ
- การเห็นคุณค่าพระเจ้า: การตระหนักรู้ถึงความสำคัญและคุณงามความดีของพระองค์
- การขอบพระคุณ: การสำนึกในพระคุณสำหรับสิ่งดีที่พระองค์ได้กระทำในชีวิตของเรา
การสรรเสริญที่แท้จริงจึงมิได้มาจากแค่เสียงเพลงที่ดังกังวาน แต่มาจากใจที่สำนึกในพระคุณ ให้เกียรติ และเห็นคุณค่าของพระเจ้าในทุกสถานการณ์
แบบอย่างจากโยบ: สรรเสริญในวันที่สูญสิ้นทุกสิ่ง
โยบ เป็นอีกบุคคลหนึ่งในพระคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการสรรเสริญในยามวิกฤต ในวันที่เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ลูกหลาน หรือแม้แต่สุขภาพ สิ่งแรกที่โยบทำคือการคุกเข่านมัสการพระเจ้า (โยบ 1:20-22)
"แล้วโยบก็ลุกขึ้นฉีกเสื้อคลุมของตัวเอง โกนศีรษะ แล้วก้มกราบลงกับพื้น และกล่าวว่า 'ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน พระองค์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามของพระเจ้า' เหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้า"
การกระทำของโยบแสดงถึงการยอมรับในอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และการยอมถ่อมใจลงอย่างที่สุด เป็นการสารภาพว่าทุกสิ่งที่เขามีล้วนมาจากพระเจ้า และหากพระองค์จะทรงเอาคืนไปก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์ ท่าทีเช่นนี้เองที่ทำให้โยบสามารถยืนหยัดผ่านความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสได้
ยูดาห์นำหน้า: ชัยชนะมาจากการสรรเสริญ
ในพระคัมภีร์เดิม ผู้วินิจฉัย 1:1-2 บันทึกเรื่องราวที่น่าสนใจเมื่อชนอิสราเอลถามพระเจ้าว่าใครควรขึ้นไปสู้รบกับคนคานาอันก่อน:
"เมื่อโยชวาสิ้นชีพแล้ว คนอิสราเอลทูลถามพระเจ้าว่า 'ใครในพวกข้าพระองค์ทั้งหลายจะขึ้นไปก่อนเพื่อสู้รบกับคนคานาอัน?' พระเจ้าตรัสว่า 'ยูดาห์ขึ้นไป ดูเถิดเราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือเขาแล้ว'"
"ยูดาห์" แปลว่า "สรรเสริญ" พระเจ้าทรงเลือกเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นเผ่าที่มีจิตวิญญาณแห่งการสรรเสริญพระเจ้านำหน้าไปก่อน และทรงสัญญาว่าจะมอบชัยชนะให้ สิ่งนี้เน้นย้ำถึงหลักการที่ว่า เมื่อเราให้การสรรเสริญพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ชัยชนะและพระพรก็จะตามมา
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
เราสามารถนำบทเรียนจากสดุดี 23 และแบบอย่างของดาวิดและโยบมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง เพื่อเผชิญกับ "หุบเขาเงามัจจุราช" ของเรา:
- กำหนดเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้อง: ยึดมั่นในความตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตในน้ำพระทัยของพระเจ้าและรับใช้พระองค์เสมอไป ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
- ปฏิเสธความขัดสน: เชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งให้เราขาดแคลนจนล้มเหลวในการดำเนินชีวิตกับพระองค์ แม้ในยามที่เรามีน้อย เราก็ยังสามารถถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้
- ไม่ยอมจำนนต่อความกลัว: แม้จะมีความรู้สึกกลัวเกิดขึ้น แต่เราต้องเลือกที่จะไม่ให้ความกลัวมาควบคุมการตัดสินใจและการดำเนินชีวิตของเรา
ฝึกฝนการสรรเสริญ:
- ให้เกียรติพระเจ้าก่อนเสมอ: ในการตัดสินใจทุกเรื่อง ให้คิดว่าสิ่งนี้จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่
- เห็นคุณค่าพระเจ้า: ตระหนักถึงความดีงามและพระคุณของพระองค์ในทุกสถานการณ์
- ขอบพระคุณในทุกกรณี: ฝึกฝนที่จะขอบพระคุณพระเจ้าแม้ในยามยากลำบาก เพราะนั่นคือท่าทีแห่งความเชื่อและความไว้วางใจ
เมื่อเราให้การสรรเสริญพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นผ่านการร้องเพลง การกล่าวขอบพระคุณ การแสดงออกถึงการให้เกียรติ และการเห็นคุณค่าของพระองค์ เราจะเห็นการทรงแทรกแซงของพระเจ้าในชีวิตของเรา และพระองค์จะทรงนำเราผ่านพ้น "หุบเขาเงามัจจุราช" ไปได้อย่างปลอดภัย
สรุปและก้าวต่อไป
สดุดี 23 เป็นบทเพลงแห่งความหวังที่สอนเราถึงหลักการสำคัญในการเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ในยามที่เราเดินผ่าน "หุบเขาเงามัจจุราช" ดาวิดได้เป็นแบบอย่างอันทรงพลังของการวางใจในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ การประกาศว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" "ข้าพเจ้าจะไม่กลัวอันตรายใดๆ" และ "ข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิจการ" ไม่ได้หมายถึงการปราศจากปัญหา แต่เป็นการเลือกที่จะตอบสนองต่อปัญหาด้วยความเชื่อและท่าทีที่ถูกต้อง
หัวใจสำคัญในการผ่านพ้นวิกฤตคือ การสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งประกอบด้วยการให้เกียรติ การเห็นคุณค่า และการขอบพระคุณพระองค์ การสรรเสริญไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องนมัสการ แต่ต้องสะท้อนผ่านการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางและให้พระองค์มาก่อนเสมอ เราจะพบว่าพระองค์ทรงนำเราไปในทางชอบธรรม ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของเรา และทรงสถิตอยู่กับเราในทุกย่างก้าว
คุณพร้อมที่จะให้การสรรเสริญนำหน้าการเดินทางของคุณใน "หุบเขาเงามัจจุราช" แล้วหรือยัง? ลองเริ่มต้นด้วยการสำรวจหัวใจของคุณและเลือกที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ในทุกสถานการณ์ และเชื่อมั่นว่าพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งคุณ!
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
-
Q1: "หุบเขาเงามัจจุราช" ในสดุดี 23 หมายถึงอะไร?
A1: "หุบเขาเงามัจจุราช" หรือ "หุบเขาแห่งความตาย" หมายถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต วิกฤตการณ์ที่มืดมิดและเต็มไปด้วยอันตราย เหมือนกับความตายที่รออยู่เบื้องหน้า เป็นภาพสะท้อนถึงความทุกข์ทรมาน ความกลัว และความไม่แน่นอนที่มนุษย์ต้องเผชิญ -
Q2: ทำไมกษัตริย์ดาวิดจึงเขียนสดุดี 23 ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก?
A2: ดาวิดเขียนสดุดี 23 ในช่วงที่เขาถูกอับซาโลม บุตรชายของตนเองไล่ล่าเพื่อเอาชีวิต ทำให้เขาต้องหนีออกจากราชวังและเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต การเขียนบทเพลงนี้เป็นการระบายความรู้สึก ความเชื่อ และความไว้วางใจในพระเจ้าที่เขามี แม้ในยามวิกฤตที่สุด เขาเลือกที่จะสรรเสริญพระเจ้าและยึดมั่นในพระองค์ -
Q3: "สามข้าพเจ้า" ของดาวิดในสดุดี 23 สอนอะไรเราบ้าง?
A3: "สามข้าพเจ้า" คือ "ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" "ข้าพเจ้าจะไม่กลัวอันตรายใดๆ" และ "ข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิจการ" สอนเราถึงท่าทีแห่งหัวใจที่ถูกต้องในการตอบสนองต่อปัญหาและต่อพระเจ้า คือการไม่ยอมจำนนต่อความขาดแคลนหรือความกลัว และการยึดมั่นในพระเจ้าเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต -
Q4: การสรรเสริญพระเจ้าในยามวิกฤตสำคัญอย่างไร?
A4: การสรรเสริญพระเจ้าในยามวิกฤตเป็นแหล่งที่มาของกำลังและชัยชนะ การที่เราเลือกที่จะยกย่องพระนามของพระเจ้าก่อนเป็นการแสดงออกถึงความไว้วางใจอย่างสุดจิตสุดใจ และเป็นการเชิญชวนให้การทรงสถิตของพระเจ้าลงมานำทางและแก้ไขปัญหาของเรา -
Q5: การสรรเสริญที่แท้จริงประกอบด้วยอะไรบ้าง?
A5: การสรรเสริญที่แท้จริงประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ การให้เกียรติพระเจ้า (ให้พระองค์มาก่อนเสมอ) การเห็นคุณค่าพระเจ้า (ตระหนักถึงความสำคัญและคุณงามความดีของพระองค์) และการขอบพระคุณ (สำนึกในพระคุณของพระองค์ในทุกกรณี) สิ่งเหล่านี้ต้องสะท้อนผ่านการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ใช่แค่เสียงเพลงเท่านั้น -
Q6: เราจะนำหลักการจากสดุดี 23 มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร?
A6: เราสามารถประยุกต์ใช้ได้โดยการกำหนดเป้าหมายชีวิตที่ยึดพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ปฏิเสธความขัดสนด้วยความเชื่อ ไม่ยอมจำนนต่อความกลัว และฝึกฝนการสรรเสริญพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอในทุกสถานการณ์ ด้วยการให้เกียรติ เห็นคุณค่า และขอบพระคุณพระองค์
หากคุณกำลังมองหาบทเรียนชีวิตจากพระคัมภีร์ หรืออยากเข้าใจตัวเองและพระเจ้ามากขึ้น ติดตามบทความดีๆ แบบนี้ได้ที่ https://www.siamchristian.com
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com