Connected successfully
โดย ดร. จิโรจ บงกชมาศ
การนมัสการในวันนี้ถือเป็นตอนที่ 4 ของซีรีส์เรื่อง "ความเชื่อและการรอคอย" ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับการติดตามพระเจ้าเมื่อเราต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ในชีวิต
การที่เรามีความเข้าใจอย่างเพียงพอในเรื่องของความเชื่อในพระเจ้าและการรอคอย จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าได้ดีขึ้น ความเชื่อมักจะถูกทดสอบเสมอด้วยการรอคอย เพื่อจะดูว่าความเชื่อที่เรามีในพระเจ้านั้นเป็นของจริงหรือของปลอม เข้มแข็งมั่นคงหรือว่าอ่อนแอและสั่นคลอนได้ง่าย
การรอคอยพระเจ้าเป็นเวลานานในบางเรื่องที่เราอธิษฐานขอจากพระเจ้า บางทีพอเราขาดความเข้าใจเราก็จะท้อใจ เราก็จะรู้สึกสั่นคลอนในความเชื่อ แต่พอเราเข้าใจเรื่องการรอคอย มันจะทำให้เรารู้ว่าเมื่อเรารอคอย เราจะเห็นสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่เสมอ
พ่อแม่สามีภรรยาแต่งงานใหม่ๆ แล้วภรรยาท้องได้ 3 เดือน ไม่มีพ่อแม่คนไหนกลับบ้านบอกว่า "เอาลูกออกมาพรุ่งนี้ดี" เพราะเรารู้ว่า 9 เดือนถึงจะได้สิ่งดีที่สุด - ลูกจะแข็งแรงที่สุดและพร้อมที่จะออกสู่โลก
หลายครั้งพระเจ้ารอเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะตอบคำอธิษฐานของเรา เพื่อจะช่วยกู้เรา เพื่อจะหนุนใจเรา เพื่อจะทำบางอย่างที่เราเคยขอไว้ อาจจะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจจะเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หรืออาจจะเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว พระเจ้ามีเวลาที่เหมาะสมเสมอ
อับราฮัมรอคอยพระเจ้า 25 ปีกว่าจะได้ลูกชายคนแรก
โมเสสรอคอยพระเจ้า 40 ปีในถิ่นธุรกันดาร ชีวิตนี้หมดหวังไปแล้วเพราะว่าโมเสสไปฆ่าคนตายในอียิปต์แล้วต้องหนีเพราะกลัวคนอียิปต์จะจับเขาไปลงโทษ เข้าไปอยู่ในถิ่นธุรกันดาร 40 ปี ชีวิตตื่นเช้ามาไปเลี้ยงแกะ กลับบ้าน เลี้ยงแกะ กลับบ้าน ดูเหมือนอนาคตหมดไปแล้ว แต่ 40 ปีให้หลัง พระเจ้าไปเยี่ยมเยียนเขาที่พุ่มไม้ที่มีไฟไหม้และไฟลุกที่พุ่มไม้แต่ต้นไม้ไม่ได้ไหม้ และพระเจ้าบอกว่า "เราจะให้เจ้ามีเป้าหมายในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง"
โนอาห์รอคอย 120 ปี ตั้งแต่วันแรกที่เขาบอกว่าพระเจ้าบอกให้เขาต่อนาวา ให้ไปบอกคนในโลกนี้ว่าให้กลับใจใหม่ ไม่งั้นพระเจ้าจะลงโทษให้น้ำท่วมโลก ตลอด 120 ปีที่เขาต่อเรือแล้วเขาก็เล่าเรื่องว่า "กลับใจใหม่นะ อย่าทำบาปนะ" ไม่มีใครฟังเขา โนอาห์เป็นตัวตลกในสายตาเพื่อนบ้านของเขาถึง 120 ปี จนวันหนึ่งเวลาที่เหมาะสมมาถึง พระเจ้าก็พิสูจน์ให้เขารู้ว่าโนอาห์พูดถูก
โยชูวารอคอยในถิ่นธุรกันดาร 40 ปีกว่าจะได้เข้าไปในดินแดนแห่งพันธสัญญา หรือดินแดนคานาอัน
ความเชื่อคือ การมีความกล้าที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำ ในสิ่งที่พระเจ้าสั่งหรือสอน โดยมีความมั่นใจว่าพระเจ้าจะทำให้สิ่งดีเกิดขึ้น เรากล้าทำบางอย่างที่ดูเหมือนมันฝืนธรรมชาติ มันฝืนตัวเราเอง มันฝืนสถานการณ์ แต่เราเลือกที่จะทำแบบนั้น
การรอคอยในภาษาอังกฤษคือ "Wait" หรือ "Waiting" ซึ่งมี 2 ความหมาย:
การอยู่นิ่งๆ โดยไม่ต้องทำอะไร รอจนกว่าเวลาที่เหมาะสมมาถึง หลายครั้งพระเจ้าเรียกให้รอคอยพระเจ้า พระเจ้าบอกเวลายังไม่ถึง ถ้าเวลาที่ถูกต้องยังมาไม่ถึงก็อยู่นิ่งๆ มาโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ ดำเนินชีวิตเหมือนเดิม จนกว่าจะมีโอกาสที่เปิดขึ้นโดยพระเจ้า
ความหมายการรอคอยที่เราใช้เรียกพนักงานเสิร์ฟว่า "Waiter" มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "To Watch" เวลาเราไปกินร้านอาหาร พนักงานเสิร์ฟจะพาเราไปนั่งที่โต๊ะแล้วเขาจะเฝ้ามองเรา เขาจดจ่ออยู่ที่เรา เพื่อเขาจะตอบสนองความต้องการของเรา
ในมุมมองพระคัมภีร์ เวลาพระเจ้าบอกให้เรารอ พระเจ้าไม่ได้บอกรอเฉยๆ แต่พระเจ้ากำลังเตรียมบางอย่างเพื่อจะตอบสนองเราในเวลาที่เหมาะสม
"แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย"
คำว่า "ควาห์" หมายถึง:
"ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเชื้อสายของยาโคบ และข้าพเจ้าจะหวังอยู่ในพระองค์"
คำว่า "ฮาคาห์" แปลว่า:
เมื่อเราเอา 2 คำมารวมกัน เราจึงมีความเข้าใจว่า:
ระหว่างที่เรารอคอยพระเจ้า มันเป็นเวลาที่เราต้องหลอมรวมติดกับพระองค์ เป็นเวลาที่เราต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น
เวลาแห่งการรอคอย แม้มองดูภายนอกในฝ่ายธรรมชาติเราก็อยู่เฉยๆ เราก็ไม่ได้ทำอะไร ก็ปล่อยให้เวลามันผ่านไป แต่ข้างในภายใน ช่วงระหว่างการรอคอยนั้น เรารู้ว่าเราต้อง:
ฤดูกาลแห่งการรอคอยจึงเป็นเวลาที่เราเตือนใจตัวเองว่า:
แต่ให้ระมัดระวังว่าให้ช่วงเวลาแห่งการรอคอยเป็นช่วงเวลาที่เราได้มีชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น
เมื่อเราดูในพระธรรมอิสยาห์ 40:31 ที่บอกว่าถ้ารอคอยจะรับการเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เรารู้ว่าเวลาที่เรารอคอยนานๆ แรงมันจะน้อยลงเพราะว่าสิ่งที่เราต้องการมันยังมาไม่ถึง เราจะอ่อนแรง เราจะท้อใจ
แต่ในความเป็นจริงในพระเจ้า ถ้าเรารอคอยแบบเข้าใจ และระหว่างการรอคอยเราพยายามจะใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่าเวลาแห่งการรอคอยจะกลับกลายเป็นเวลาที่ทำให้ท่านกลับมามีกำลังในการบินขึ้นสูงเหมือนนกอินทรีย์อีกครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์ตอนนี้ อิสราเอลเป็นเชลยของบาบิโลน 10 กว่าปีแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนของพระเจ้าก็เริ่มบ่น "เป็น 10 ปีแล้วนะ แต่พระเจ้าไม่ตอบ" ชีวิตตกอยู่ในความยากลำบาก ไม่มีอิสรภาพ ต้องรับใช้บาบิโลน ชีวิตที่เป็นเชลยคือตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ต้องฟังเจ้านายอย่างเดียว
อิสยาห์จึงเตือนสติคนที่รอคอยเป็น 10 ปีแล้วพระเจ้ายังไม่ตอบคำอธิษฐาน:
"ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ? พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ เป็นผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าใจของพระองค์ก็เหลือจะหยั่งรู้ได้" (อิสยาห์ 40:28)
อิสยาห์เตือนว่า:
ปัญหาของคุณไม่ใช่เรื่องนั้น ปัญหาของคุณคือคุณกับพระเจ้า คุณต้องรอให้ได้
สมมติเรามีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่เราเผชิญนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือคุณกับพระเจ้า คุณต้องรอให้ได้ และระหว่างรอคอยให้ติดสนิทกับพระเจ้าให้ได้ แล้วพระเจ้าจะเคลียร์ปัญหาตรงนี้เอง
ปัญหาของคุณไม่ใช่เรื่องธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องการงาน ปัญหาคือคุณกับพระเจ้าต้องถูกต้องให้ได้ ในฤดูกาลแห่งการรอคอย ต้องเชื่อว่าการรอคอยจะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีกว่า และให้ฤดูแห่งการรอคอยเป็นฤดูที่ท่านพักสงบในพระเจ้า
มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ตัวเล็กๆ อายุไม่กี่ขวบ ไปยืนรอรถโดยสารประจำทางข้างถนน และที่ตรงนั้นไม่มีป้ายรถเมล์ด้วย เด็กคนนี้ก็ยืนรออยู่นาน รถเมล์ก็ยังไม่มาสักที
มีผู้ชายคนหนึ่งสังเกตเด็กคนนี้มานานแล้วก็รู้สึกสงสาร เดินไปหาเด็กคนนี้ถาม "หนูยืนรอรถเมล์อยู่ใช่ไหม?" เด็กคนนี้บอกว่า "ใช่"
ผู้ชายคนนี้ก็แนะนำ "รถเมล์ไม่จอดตรงนี้หรอก ตรงนี้ไม่มีป้ายรถเมล์ ถ้าหนูอยากจะขึ้นรถเมล์ หนูเดินไปอีกบล็อกหนึ่ง ตรงนั้นมีป้ายรถเมล์ แล้วหนูเดินไปตรงนั้นแล้วรถเมล์จะมารับ"
เด็กคนนี้ก็บอก "ผมจะรอตรงนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ารถจะมา"
ชายคนนี้ก็พูด "ตรงนี้ไม่มีป้ายรถเมล์ รถเมล์จะไม่จอด รอตรงนี้จนถึงกลางคืนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่ามันไม่มีป้ายรถเมล์ จะไม่มีรถเมล์คันไหนมารับหนูแน่ๆ เสียเวลาเปล่าๆ ถ้ารออยู่ตรงนี้"
เด็กคนนี้ก็ยืนยัน "ผมจะรออยู่ตรงนี้ ผมจะไม่ไปไหน ผมจะรอรถเมล์อยู่ตรงนี้"
ผู้ชายคนนี้เริ่มโมโหเพราะว่าเด็กคนนี้ไม่ฟังคำแนะนำ ใจหนึ่งก็โมโห ใจหนึ่งก็รู้สึกสมเพช บอก "ไอ้เด็กคนนี้มันโง่จริงๆ คอมมอนเซนส์ก็ไม่มี อยากจะขึ้นรถเมล์ต้องไปที่ป้ายรถเมล์ ไอ้เด็กคนนี้ทั้งโง่ทั้งหยิ่ง ทั้งไม่ฟัง ไม่มีคอมมอนเซนส์" ผู้ชายคนนี้ก็โกรธแล้วก็เดินจากไป
จากนั้นไม่นาน มีรถโดยสารประจำทางคันหนึ่งมาจอด แล้วก็เปิดประตูออก แล้วก็รับเด็กคนนี้ขึ้นไป ชายหนุ่มคนนี้ยืนงง "มันมีรถเมล์มารับตรงนี้ได้ยังไง? ตรงนี้ไม่มีป้ายรถเมล์"
ระหว่างกำลังยืนงงอยู่ เด็กขึ้นไปบนรถแล้ว ได้ตะโกนลงมาจากรถเมล์ "ผมรู้ว่ารถเมล์ต้องมารับผมที่นี่แน่ๆ เพราะว่าพ่อผมเป็นคนขับรถ!"
เด็กคนนี้ก็หัวเราะชอบใจ "พ่อผมคนขับรถ ทำไมจะให้ผมไปรอที่ป้าย? พ่อผมให้ผมมารอตรงนี้"
เรื่องราวนี้สะท้อนถึงการรอคอยพระเจ้าในชีวิตของเรา "ถ้าพระเจ้าบอกให้ท่านรอตรงไหน ก็รออยู่ตรงนั้น รอจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึง"
พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ที่จะอวยพรท่าน แม้คนรอบข้างจะบอกว่า "บ้าแล้ว รอไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ? บ้าแล้วมันรอรถเมล์ แล้วป้ายก็ไม่มี รถเมล์มันจะมาได้ยังไง?"
บางคนอาจมองว่าท่านงมงาย บางคนอาจมองว่าท่านไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ในการติดตามพระเจ้า พอมาโบสถ์แล้วเริ่มเพี้ยน ความคิดเริ่มเพี้ยนไป
แต่เรารู้ว่า พ่อเราเป็นคนขับรถเมล์ พระเจ้าเป็นคนที่ขับรถโดยสารประจำทาง และพระองค์ไม่ต้องการป้าย พระองค์รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนแล้ว
ถ้าพระองค์บอกให้เรารอ เราก็รอ แล้วพระองค์ก็จะมารับในเวลาที่เหมาะสม การรอคอยพระเจ้าจะไม่สูญเปล่า เพราะการรอคอยพระเจ้ามีรางวัลที่รอไว้อีกฟากหนึ่งของเวลาเสมอ
เช้านี้ อาจมีบางอย่างที่ท่านรอคอยพระเจ้า:
เราอาจมีความหวังหลายอย่าง แต่ให้เราได้ติดสนิทกับพระเจ้า ให้เราได้ใกล้ชิดกับพระองค์ เหมือนที่เมื่อกี้บอกว่าต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งให้ได้กับพระเจ้าในฤดูกาลแห่งการรอคอย
ขอให้ความเชื่อท่านไม่ลดน้อยถอยลง แต่มีมากขึ้นในพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรผู้ฟัง ให้รู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เมื่อบอกให้ท่านรอที่ไหน จงรอต่อไป พระองค์จะมารับท่านในเวลาที่เหมาะสม
ขอโทษพระองค์ที่หลายครั้งเราเครียด หลายครั้งเรากังวล หลายครั้งเราไม่วางปัญหาลง ถือไว้กับเรา แบกไว้ตลอดเวลา
ให้เช้านี้เราตัดสินใจวางปัญหาของเราลง เพราะแบกไว้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ถ้าวางลงแล้ว พระเจ้าจะ handle ปัญหาของท่านได้ดีขึ้น เพราะท่านปล่อยมันไว้ 100% และให้พระเจ้าจัดการ
ขอพระเจ้าช่วยเราที่ความเชื่อเราจะมีมากขึ้น ขอพระเจ้าใช้เราที่จะพาคนมารู้จักพระเจ้า และ Say Yes กับน้ำพระทัยของพระองค์
ขอพระเจ้าสร้างคริสตจักรของพระองค์จากภายในของเรา ที่เราจะมีความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคงในพระองค์
การรอคอยพระเจ้าไม่ใช่การเสียเวลา แต่เป็นการเตรียมตัวสำหรับพระพรที่จะมาถึงในเวลาอันเหมาะสม เมื่อเรารู้ว่า "พ่อของเรา" คือผู้ที่ขับรถโดยสาร เราจึงมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะไม่มีป้าย ไม่มีสัญญาณใดๆ พระองค์ทรงรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน และจะมารับเราในเวลาที่ถูกต้อง
หากคุณกำลังมองหาบทเรียนชีวิตจากพระคัมภีร์ หรืออยากเข้าใจตัวเองและพระเจ้ามากขึ้น ติดตามบทความดีๆ แบบนี้ได้ที่ https://www.siamchristian.com
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com