คำเทศนา - ความเชื่อและการรอคอย ตอนที่ 3
คำเทศนาประจำวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568โดย ดร. จิโรจ บงกชมาศ
ปฐมกาล 16:15-16
สรุปคำเทศนา - ความเชื่อและการรอคอย ตอนที่ 3
ในโลกที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การรอคอยกลายเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคริสเตียนในยุคปัจจุบัน ความเชื่อและการรอคอย เป็นสองสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก และเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณ
แม้แต่อับราฮัม ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งความเชื่อ" ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการรอคอยพระสัญญาของพระเจ้าเป็นเวลา 25 ปี การเดินทางของเขาสอนให้เราเห็นว่า การรอคอยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นกระบวนการที่พระเจ้าใช้ในการสร้างความเชื่อและความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณในเรา
ความเชื่อ 6 ประเภทที่คริสเตียนควรรู้
1. ความเชื่อที่นำไปสู่ความรอด
ความเชื่อประเภทแรก คือความเชื่อที่เป็นพื้นฐานของการเป็นคริสเตียน ความเชื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตฝ่ายวิญญาณ
2. ความเชื่อที่ทำให้ยืนหยัดมั่นคง
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือเพื่อนของแดเนียลที่ยืนหยัดไม่ยอมไหว้รูปเคารพ แม้จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ ความเชื่อประเภทนี้ ช่วยให้เราไม่เปลี่ยนแปลงหลักการและไม่ประนีประนอมกับโลกในสิ่งที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
3. ความเชื่อในการเชื่อฟังพระเจ้า
อับราฮัมแสดงให้เห็นความเชื่อประเภทนี้เมื่อเขาเต็มใจจะถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา หรือการที่เขาออกเดินทางจากบ้านเกิดโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน การเชื่อฟังด้วยความเชื่อ คือการกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแม้จะไม่เข้าใจเหตุผลทั้งหมด
4. ความเชื่อในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
นี่คือความเชื่อในการเดินกับพระเจ้าทุกวัน การมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและต่อเนื่องกับพระองค์ ไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาวิกฤตเท่านั้น
5. ความเชื่อในการเผชิญปัญหา
ความเชื่อในยามทุกข์ยาก คือความมั่นใจว่าพระเจ้าจะช่วยเราผ่านพ้นไปได้ แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก
6. ความเชื่อในการอธิษฐาน
คริสเตียนส่วนใหญ่รู้จักความเชื่อประเภทนี้เป็นอันดับแรก เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการได้รับประสบการณ์กับพระเจ้าโดยตรง
3 แหล่งที่มาของความเชื่อ
1. ความเชื่อเป็นของขวัญจากพระเจ้า
บางครั้งเราอาจรู้สึกหมดแรง แต่จู่ๆ ก็มีความหวังและพลังขึ้นมา แม้สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือของขวัญความเชื่อที่พระเจ้าประทานผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์
2. ความเชื่อที่เป็นผลจากการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
เมื่อเราเดินกับพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อและต่อเนื่อง ความเชื่อจะเติบโตขึ้นตามธรรมชาติ เหมือนอับราฮัมที่มีความเชื่อมากขึ้นเมื่อเขาเดินกับพระเจ้ามากขึ้น
3. ความเชื่อจากการได้ยินความจริง
ตามที่พระคัมภีร์บอกว่า "ความเชื่อเกิดขึ้นจากการได้ยิน" การรับฟังและศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งสำคัญของความเชื่อ
ทำไมการรอคอยจึงเป็นเรื่องยาก: 3 เหตุผลหลัก
1. การรอคอยทำให้จิตใจเป็นทุกข์
การรอคอยระยะยาวส่งผลกระทบต่อจิตใจ ความคิด และแม้กระทั่งร่างกาย หลายครั้งสร้างความเครียด ความกดดัน และความอับอาย เช่น การเห็นเพื่อนแต่งงานแล้วแต่เรายังโสด หรือเห็นเพื่อนประสบความสำเร็จแต่เรายังดิ้นรน
2. ความสามารถในการรอคอยเกี่ยวข้องกับความเป็นผู้ใหญ่
ความอดทนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเติบโตในความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ การเปลี่ยนแปลงความคิด และการรู้จักพระเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เด็กมักจะไม่อดทน แต่ผู้ใหญ่สามารถรอคอยได้ หากเราขาดความสามารถในการรอคอย แสดงว่าเราอาจยังต้องเติบโตในความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
3. การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรอคอย
เมื่อเราไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการรอคอย เราจะมองมันเป็นปัญหาแทนที่จะเป็นของขวัญจากพระเจ้า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้เราเห็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นผ่านการรอคอย
ความหมายที่แท้จริงของการรอคอย
ความหมายแบบทั่วไป: การอยู่นิ่งและรอเวลา
ในชีวิตประจำวัน การรอคอยหมายถึงการอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร รอให้เวลาผ่านไปจนถึงจังหวะที่เหมาะสม เช่น รออาหารสุก รอไฟเขียว รอเด็กเติบโตครบ 9 เดือน
ความหมายที่ลึกซึ้ง: การเป็นผู้รับใช้ที่เฝ้าระวัง
คำว่า "รอคอย" (Wait) ในความหมายดั้งเดิมมาจากคำ "Watch" ที่แปลว่าการเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง เหมือนพนักงานเสิร์ฟที่เฝ้ามองลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ
การรอคอยพระเจ้าจึงไม่ใช่การนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร แต่เป็นการเตรียมตัวและเฝ้าระวังเพื่อตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์เมื่อถึงเวลา
การรอคอยในมุมมองของพระเจ้า: บทเรียนจากการตั้งครรภ์
เปรียบเทียบการรอคอยกับการตั้งครรภ์ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะอธิษฐานขอให้ลูกคลอดออกมาใน 5 เดือน เพราะรู้ว่าเด็กจะไม่สมบูรณ์ ต้องรอให้ครบ 9 เดือนจึงจะได้เด็กที่มีอวัยวะครบถ้วน
พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน หลายครั้งคำอธิษฐานของเราก็เหมือนเด็กที่ยัง "ตั้งครรภ์" อยู่ยังไม่พร้อมที่จะ "คลอด" ออกมา หากพระเจ้าตอบก่อนเวลา เราอาจได้สิ่งที่ไม่สมบูรณ์และกลายเป็นภาระแทน
การรอคอยจึงเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าใช้เพื่อให้เราได้รับพระพรที่สมบูรณ์แบบในเวลาที่เหมาะสม
ความอดทนที่แท้จริง: มากกว่าการทนทาน
ความอดทนที่แท้จริงไม่ใช่การเก็บกดหรือการทนทานจนกำลังจะระเบิด แต่เป็นความสามารถในการ:
- ทำให้ใจและความคิดสงบลงท่ามกลางปัญหา
- มองสิ่งต่างๆ ด้วยความเข้าใจและสติปัญญา
- มองสถานการณ์ในมุมมองของพระเจ้า
- ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้องในช่วงเวลาแห่งการรอคอย
แนวทางปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความเชื่อและความอดทน
1. เข้าใจว่าตัวเองอยู่ในฤดูกาลแห่งการรอคอยหรือไม่
การรู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยจะช่วยให้เราปรับทัศนคติและเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม
2. พัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
- ศึกษาพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ
- อธิษฐานและสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า
- เรียนรู้จากประสบการณ์ของบุคคลในพระคัมภีร์
- ขอคำแนะนำจากผู้นำฝ่ายวิญญาณ
3. เปลี่ยนมุมมองต่อการรอคอย
แทนที่จะมองการรอคอยเป็นปัญหา ให้มองเป็น:
- โอกาสในการเติบโต
- เวลาที่พระเจ้าใช้เตรียมเรา
- กระบวนการสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา
4. ฝึกฝนความอดทนในเรื่องเล็กๆ
เริ่มจากการฝึกอดทนในเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การรอคิวอย่างสงบ การไม่โมโหเมื่อรถติด การฟังคนอื่นจนจบก่อนตอบ
ประโยชน์ของการรอคอยที่หลายคนมองข้าม
1. การสร้างลักษณะนิสัยที่ดี
การรอคอยช่วยสร้าง:
- ความอดทนที่แข็งแกร่ง
- ความไว้วางใจในพระเจ้า
- ความสงบเสงี่ยมในการตัดสินใจ
- ความถ่อมใจและการพึ่งพาพระเจ้า
2. การเตรียมความพร้อมสำหรับพระพร
ระหว่างรอคอย พระเจ้าเตรียมเราให้พร้อมรับพระพร เหมือนการเตรียมภาชนะให้แข็งแรงพอที่จะรองรับสิ่งที่จะเทลงไป
3. การเรียนรู้การพึ่งพาพระเจ้า
เมื่อเราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เราจะเรียนรู้การวางใจและพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง
กรณีศึกษา: อับราฮัมและการรอคอย 25 ปี
ไทม์ไลน์ของการรอคอย
- อายุ 75 ปี: ได้รับพระสัญญาจากพระเจ้า
- อายุ 85 ปี: รอไม่ไหว หันไปหาทางแก้ไขด้วยตนเอง
- อายุ 86 ปี: อิชมาเอลเกิด (ผ่านนางฮาการ์)
- อายุ 99 ปี: พระเจ้ายืนยันพระสัญญาอีกครั้ง
- อายุ 100 ปี: อิสอัคเกิด (ผ่านนางซาราห์)
บทเรียนจากอับราฮัม
- การรอคอยเป็นเรื่องยากแม้สำหรับคนที่มีความเชื่อมาก
- การหาทางลัดอาจสร้างปัญหาตามมา (อิชมาเอล vs อิสอัค)
- พระเจ้ามักให้พระสัญญาที่ต้องใช้เวลานานกว่าที่เราคิด
- ผลลัพธ์สุดท้ายคุ้มค่ากับการรอคอย
การจัดการความรู้สึกในช่วงการรอคอย
1. ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
อย่าปฏิเสธความรู้สึกผิดหวัง โกรธ หรือเศร้า แต่นำมาสู่พระเจ้าผ่านการอธิษฐาน
2. หาชุมชนที่เข้าใจ
ไม่ต้องผ่านการรอคอยคนเดียว หาเพื่อนร่วมความเชื่อที่สามารถให้กำลังใจและเข้าใจสถานการณ์
3. มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ควบคุมได้
แทนที่จะกังวลเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ให้เน้นไปที่การเติบโตและการเตรียมตัวให้พร้อม
4. ฝึกการขอบคุณ
หาสิ่งที่สามารถขอบคุณได้ในทุกสถานการณ์ แม้ระหว่างรอคอย
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความเชื่อและการรอคอย
1. ทำไมพระเจ้าให้เรารอคอยแทนที่จะตอบทันที?
การรอคอยช่วยสร้างความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ สอนให้เราพึ่งพาพระองค์ และเตรียมเราให้พร้อมรับพระพรที่สมบูรณ์แบบ พระเจ้าต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เรา ไม่ใช่สิ่งที่รีบเร่ง
2. จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังรอคอยในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้?
ดูจากการที่คำอธิษฐานเรานั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่ และสร้างความรักความดีหรือไม่ หากใช่ แสดงว่าเราอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง
3. ระหว่างรอคอยควรทำอะไรบ้าง?
เตรียมตัวให้พร้อม เติบโตในความเชื่อ ศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐาน รับใช้ผู้อื่น และทำหน้าที่ที่พระเจ้าวางไว้ต่อหน้าเรา
4. ถ้ารอคอยนานแล้วแต่ไม่เห็นคำตอบ ควรทำอย่างไร?
ตรวจสอบใจและแรงจูงใจของเรา อาจขอคำแนะนำจากผู้นำฝ่ายวิญญาณ และจำไว้ว่าเวลาของพระเจ้าสมบูรณ์แบบ บางครั้งการ "ไม่ตอบ" ก็เป็นคำตอบหนึ่ง
5. การรอคอยกับการหาทางออกด้วยตัวเองต่างกันอย่างไร?
การรอคอยไม่ได้หมายถึงการนิ่งเฉย แต่เป็นการเตรียมตัวและรอเวลาของพระเจ้า ขณะที่การหาทางออกด้วยตัวเองมักจะรีบเร่งและอาจไม่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า
6. เด็กๆ จะเข้าใจเรื่องการรอคอยได้อย่างไร?
ใช้การเปรียบเทียบที่เด็กเข้าใจได้ เช่น การรออาหารสุก การรอเติบโต การรอวันเกิด และสอนผ่านแบบอย่างของเราเอง
7. ความเชื่อประเภทไหนสำคัญที่สุด?
ทุกประเภทสำคัญในระยะต่างๆ ของชีวิต แต่ความเชื่อที่นำไปสู่ความรอดเป็นพื้นฐาน ส่วนประเภทอื่นๆ จะช่วยให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
สรุป: การเดินทางของความเชื่อและการรอคอย
ความเชื่อและการรอคอยเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันในชีวิตคริสเตียน ความเชื่อให้พลังในการรอคอย และการรอคอยสร้างความเชื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
การรอคอยไม่ใช่การลงโทษจากพระเจ้า แต่เป็นของขวัญที่ช่วยให้เราเติบโตและเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่ดีกว่าที่เราขอ เหมือนพ่อแม่ที่รอให้ลูกในท้องเติบโตครบ 9 เดือนเพื่อได้เด็กที่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการรอคอย เราจะสามารถรอคอยด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความกดดันหรือความเครียด เราจะเห็นว่าพระเจ้าเป็นเหมือนพนักงานเสิร์ฟที่เฝ้าดูโต๊ะของเราและจะมาตอบสนองเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
เรียกร้องการกระทำ (Call-to-Action)
วันนี้ ขอให้คุณถามตัวเองว่า:
- คุณกำลังรอคอยอะไรจากพระเจ้าอยู่?
- คุณมองการรอคอยนั้นเป็นปัญหาหรือเป็นโอกาส?
- ความเชื่อประเภทไหนที่คุณต้องการเสริมสร้างให้แข็งแกร่งขึ้น?
จงจำไว้ว่า "การรอคอยพระเจ้าไม่เคยสูญเปล่า" พระองค์กำลังเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้คุณ เหมือนที่ท่านเตรียมอาหารอร่อยที่สุดไว้ให้แขกคนสำคัญ
หากคุณกำลังมองหาบทเรียนชีวิตจากพระคัมภีร์ หรืออยากเข้าใจตัวเองและพระเจ้ามากขึ้น ติดตามบทความดีๆ แบบนี้ได้ที่ https://www.siamchristian.com
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com