คำเทศนา - ความเชื่อและการรอคอย ตอนที่ 1
คำเทศนาประจำวันที่ 19 มกราคม 2568โดย ดร. จิโรจ บงกชมาศ
ฮีบรู 11:1
สรุปคำเทศนา - ความเชื่อและการรอคอย ตอนที่ 1
ในช่วงสองอาทิตย์นี้ เรามีโอกาสพิเศษที่จะเชิญชวนผู้คนให้มารู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และวันนี้เราจะสำรวจหัวข้อที่เป็นรากฐานของความเชื่อคริสเตียน — “ความเชื่อและการรอคอย” สองสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ และเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตในพระเจ้า
เมื่อคำอธิษฐานดูเหมือนยังไม่ได้รับคำตอบ
หลายคนคงเคยรู้สึกว่าแม้จะอธิษฐานด้วยความเชื่อ และดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า แต่คำตอบก็ยังไม่มา ทำให้เกิดคำถามในใจว่า:
- ทำไมพระเจ้ายังไม่ตอบคำอธิษฐาน?
- ทำไมพระองค์เคยทำอัศจรรย์ในอดีต แต่วันนี้กลับเงียบ?
คำตอบคือ พระเจ้าไม่ได้เพิกเฉย แต่ในหลายครั้ง การตอบคำอธิษฐานของพระเจ้ามักมี “ช่วงเวลาของการรอคอย” ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการความเชื่ออย่างมั่นคง
ความหมายของความเชื่อในพระคัมภีร์
“ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่เห็นนั้นมีจริง” — ฮีบรู 11:1
ความเชื่อ (Faith) ในบริบทของพระคัมภีร์ คือ ความมั่นใจ และ การวางใจ ในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา แม้เราจะยังไม่เห็นในเวลานั้นก็ตาม
สองปัจจัยของความเชื่อที่สัมฤทธิ์ผล
- คุณภาพของความเชื่อ
ความเชื่อที่เข้มแข็ง จะช่วยให้เรายืนหยัดและมั่นคงในพระเจ้า แม้ในยามยากลำบาก - การกล้าใช้ความเชื่อ
คือการลงมือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แม้จะต้องเสี่ยง หรือยังไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที
ตัวอย่างจาก ฮีบรูบทที่ 11 แสดงให้เห็นถึงบุคคลหลายคนที่ใช้ความเชื่ออย่างกล้าหาญ เช่น:
- โนอาห์ ที่สร้างเรือแม้ยังไม่เห็นฝน
- อับราฮัม ที่เดินทางโดยไม่รู้จุดหมาย
ความเชื่อ คือ “การทำสิ่งที่เสี่ยงด้วยความไว้วางใจ”
นิยามความเชื่อที่ชัดเจนจากบทเรียนในวันนี้คือ:
“ความเชื่อคือความกล้าที่จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอก ด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะทำสิ่งดีในอนาคต”
คริสเตียนจำนวนมากทั่วโลกเสี่ยงชีวิตเพื่อเชื่อฟังพระเจ้า — ไม่ใช่เพราะเขาเห็นผลทันที แต่เพราะพวกเขาเชื่อใน “พระลักษณะของพระเจ้า” ว่าทรงสัตย์ซื่อ และจะประทานสิ่งดีตามเวลาอันเหมาะสม
ประเภทของความเชื่อ (6 ประเภทหลัก)
- Saving Faith (ความเชื่อที่นำไปสู่ความรอด)
การเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า และสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาป เมื่อเราสารภาพและเชื่อด้วยใจ เราจะได้รับความรอด (ยอห์น 3:16) - Standing Faith (ความเชื่อที่ยืนหยัด)
ความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนแม้เจอการทดลองหรือสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจ (1 โครินธ์ 16:13) - Working Faith (ความเชื่อที่ลงมือทำ)
ความเชื่อที่แสดงออกผ่านการกระทำ เช่น การรับใช้ การให้อย่างใจกว้าง หรือการรับผิดชอบต่อผู้อื่น (ยากอบ 2:17) - Growing Faith (ความเชื่อที่เติบโต)
ความเชื่อที่เพิ่มพูนขึ้นจากการเรียนรู้พระวจนะ และผ่านประสบการณ์กับพระเจ้า (2 เธสะโลนิกา 1:3) - Risk-Taking Faith (ความเชื่อที่กล้าเสี่ยง)
ความเชื่อที่กล้าก้าวออกจากสิ่งที่คุ้นเคย เพื่อทำตามน้ำพระทัย เช่น การย้ายที่อยู่ การเปลี่ยนอาชีพ หรือการเป็นมิชชันนารี - Miracle Faith (ความเชื่อในอัศจรรย์)
ความเชื่อที่คาดหวังให้พระเจ้าทำสิ่งที่เกินความเข้าใจมนุษย์ เช่น การรักษาโรค การเปิดทางในสถานการณ์ที่ดูเหมือนปิด
สรุป: ความเชื่อ + การรอคอย = พระพรที่ยั่งยืน
“ถ้าคุณกำลังรอคำตอบจากพระเจ้าในวันนี้ จงรอด้วยความเชื่อ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ และไม่เคยลืมคำอธิษฐานของคุณ”
พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานทุกคำ และพระองค์ทรงมีเวลาที่ดีที่สุดของพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่เรารอคอย ขอให้เราเดินในความเชื่อ และอดทนจนกว่าจะเห็นพระพรนั้นสำเร็จในชีวิตเรา
หากคุณกำลังมองหาบทเรียนชีวิตจากพระคัมภีร์ หรืออยากเข้าใจตัวเองและพระเจ้ามากขึ้น ติดตามบทความดีๆ แบบนี้ได้ที่ https://www.siamchristian.com
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com