คำเทศนา - การให้ ตอนที่ 4
คำเทศนาประจำวันที่ 3 สิงหาคม 2568โดย ดร. จิโรจ บงกชมาศ
2 โครินธ์ 8:10-15
สรุปคำเทศนา - การให้ ตอนที่ 4
บทนำ: ค่านิยมแห่งการให้ตามแบบพระคัมภีร์
ในโลกที่ให้ความสำคัญกับการสะสมและครอบครอง แนวคิดเรื่อง "การให้" อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับกระแสหลัก แต่สำหรับคริสเตียนแล้ว การให้คือหัวใจสำคัญของความเชื่อ เพราะการให้เริ่มต้นจากพระเจ้าเอง พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวเพื่อไถ่บาปมนุษย์ และทรงสร้างโลกนี้เพื่อให้มนุษย์ได้อาศัยในสิ่งที่ดีที่สุดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน การให้จึงไม่ใช่เพียงแค่การแบ่งปันสิ่งของ แต่เป็นการสะท้อนหัวใจของพระเจ้าในชีวิตของเรา
อัครทูตเปาโลได้เน้นย้ำถึงหลักการนี้ในการเขียนจดหมายหนุนใจคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ให้ถวายเงินช่วยเหลือพี่น้องที่ยากลำบากในกรุงเยรูซาเล็ม สิ่งที่เปาโลสอนไม่ใช่แค่เรื่องการทำบุญ แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองเรื่องการให้ทั้งหมดด้วยการนำหลักการจากพระคัมภีร์เดิมมาอธิบาย เปาโลชี้ให้เห็นว่า การเชื่อฟังและให้ด้วยใจยินดีจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ในแง่ของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แต่ในแง่ของจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยสันติสุขและความพอเพียง
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงแนวคิดเรื่อง "ค่านิยมของการให้" ตามหลักการที่เปาโลได้อ้างถึงในพระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 8 โดยเฉพาะข้อ 15 ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องมานาในพระธรรมอพยพ เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมการให้จึงเป็นพระพรที่แท้จริงและเป็นหลักการที่ทำให้เราไม่ขาดแคลน
หลักการมานา: เก็บมากก็ไม่มีเหลือ เก็บได้น้อยก็ไม่ขาด
เปาโลอ้างอิงคำพูดจากพระธรรมอพยพ 16:18 ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ชาวอิสราเอลเก็บมานาในถิ่นทุรกันดาร เมื่อพระเจ้าประทานมานาให้เป็นอาหารประจำวัน พระองค์ทรงบัญชาให้ทุกคนเก็บเท่าที่จำเป็นสำหรับบริโภคในวันนั้นเท่านั้น ไม่ให้เก็บไว้เผื่อวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อพวกเขาใช้ภาชนะตวง (โอเมอร์) สิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น: "คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ ส่วนคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาด"
หลักการนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องอาหาร:
- ความเพียงพอที่มาจากพระเจ้า: ไม่ว่าชาวอิสราเอลจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ จะเก็บได้มากหรือน้อย แต่ทุกคนก็มีอาหารเพียงพอสำหรับอิ่มในแต่ละวันเสมอ สิ่งนี้สอนว่าความต้องการที่แท้จริงของเราจะได้รับการเติมเต็มเมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้า
- การเชื่อฟังเหนือการวางแผน: มนุษย์มักจะคิดและวางแผนล่วงหน้า บางคนอาจคิดว่าควรเก็บไว้มากๆ เผื่อขาดแคลน แต่พระเจ้ากลับสอนว่าหน้าที่ของเราคือการเชื่อฟังและพึ่งพาพระองค์ในแต่ละวัน เมื่อทำตามคำสั่ง มานาที่เก็บเกินไว้จะเน่าเสีย นั่นคือสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า
- การให้คือส่วนหนึ่งของความพอเพียง: ในบริบทที่เปาโลอธิบาย เขานำหลักการนี้มาสอนชาวโครินธ์ว่า ถ้าคุณมีมากแล้วแบ่งปันออกไป คุณจะไม่ขาดแคลนเลย เพราะพระเจ้าจะจัดเตรียมให้คุณมีอย่างเพียงพอเสมอ และถ้าคุณมีน้อย แต่ยังให้ คุณก็จะไม่ขาดเช่นกัน
เปาโลต้องการให้ชาวโครินธ์มองว่า การให้ไม่ใช่การสูญเสีย แต่เป็นการเปิดโอกาสให้พระเจ้าได้สำแดงความสัตย์ซื่อของพระองค์ การมีทรัพย์สินมากๆ โดยไม่แบ่งปันก็เหมือนมานาที่เก็บไว้จนเน่าเสีย ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย และอาจกลายเป็นสิ่งที่จะหายไปในที่สุด
การให้ที่แท้จริง: สุขที่ได้ทำเหมือนพระเจ้า
เปาโลได้เน้นย้ำว่าพระพรของการให้ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การได้รับสิ่งใดกลับคืนมา แต่เป็นการได้มีโอกาสเป็นเหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นแห่งการให้ การที่เราแบ่งปันสิ่งที่เรามีให้แก่ผู้อื่นคือการเลียนแบบพระลักษณะของพระเจ้า และการกระทำนี้ต่างหากที่นำมาซึ่งความสุขและสันติสุขในใจ
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงชาวโครินธ์ เขากำลังท้าทายความคิดที่ว่า "ถ้าเราให้ไปแล้วเราจะเหลืออะไร" ซึ่งเป็นความคิดแบบโลก แต่เปาโลชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการทำให้ใครมีภาระหนักขึ้นหรือต้องการให้ใครขัดสน "แต่เป็นการให้กันไปให้กันมาในยามที่ท่านมีบริบูรณ์ เวลาเช่นเวลานี้ ท่านก็ควรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน" (2 โครินธ์ 8:14)
นี่คือแนวคิดเรื่อง "การให้กันไปให้กันมา" เปาโลไม่ได้บอกให้คนรวยให้จนหมดตัวและกลายเป็นคนจน แต่เป็นการแบ่งปันเมื่อเรามีมาก เพื่อที่ในอนาคตเมื่อเราขาดแคลน ผู้อื่นก็จะช่วยเหลือเรากลับมาด้วยเช่นกัน หลักการนี้จึงเป็นการสร้างสังคมแห่งการพึ่งพากันและกันตามแบบอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์
หลักการแห่งความเชื่อและการพึ่งพาพระเจ้า
การให้ด้วยใจยินดีคือการกระทำที่แสดงถึงความเชื่ออย่างแท้จริงในพระเจ้า เปาโลบอกว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี และพระองค์ทรงฤทธิ์ที่จะประทานทุกสิ่งให้เราอย่างอุดมสมบูรณ์ เพื่อที่เราจะมีอย่างพอเพียงสำหรับตัวเองและยังมีบริบูรณ์สำหรับงานดีทุกอย่าง (2 โครินธ์ 9:7-9)
หลักการนี้สอนว่า:
- ทุกสิ่งที่เรามีมาจากพระเจ้า: ถ้าเราเชื่อว่าทรัพย์สินและพระพรต่างๆ ที่เรามีมาจากพระเจ้า เราจะกล้าที่จะให้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลน เพราะเรามั่นใจว่าพระเจ้าที่เป็นผู้ประทานให้ในตอนแรก ก็สามารถเติมเต็มกลับมาได้อีก
- การให้คือการขยายพระพร: การให้ไม่ใช่แค่การลดทอนสิ่งที่เรามี แต่เป็นการขยายพระพรของพระเจ้าให้ไปถึงคนอื่นมากขึ้น เมื่อเราเป็นช่องทางแห่งพระพร พระองค์ก็จะทรงเติมเต็มเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่เราจะได้ให้ได้มากขึ้นไปอีก
- ความสุขที่มาจากการเชื่อฟัง: ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการสะสม แต่มาจากการเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อเราให้ด้วยความรักและความเชื่อ เราจะสัมผัสได้ถึงสันติสุขที่แท้จริงในจิตใจ
การให้จึงเป็นการทดสอบความเชื่อของเราว่า เราวางใจในกำลังของตัวเอง หรือวางใจในพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ในการจัดเตรียมอย่างไม่ขาดสาย
สรุป: ค่านิยมแห่งการให้ที่ยั่งยืน
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ค่านิยมแห่งการให้ ที่เปาโลสอนยังคงเป็นจริงเสมอ การให้ไม่ใช่เรื่องของการรอให้มีเยอะแล้วค่อยให้ หรือให้ด้วยความเสียดาย แต่เป็นการให้ด้วยความเชื่อ ความไว้วางใจ และความยินดี การแบ่งปันสิ่งที่เรามีไม่ว่ามากหรือน้อยคือการที่เราได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และเป็นการยืนยันว่าเราวางใจในพระองค์อย่างแท้จริง
เมื่อเรามีใจในการให้ พระพรต่างๆ จะไหลเข้ามาในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพื่อที่เราจะเก็บไว้คนเดียว แต่เพื่อให้เราเป็นช่องทางแห่งพระพรสู่คนรอบข้างและเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง
ดังนั้น ขอให้เราได้ทบทวนตัวเองว่า เราเป็นคนหนึ่งที่กำลังเก็บมานาไว้จนเน่าเสีย หรือเราเป็นผู้ให้ที่มีใจยินดีและเชื่อในหลักการของพระเจ้าที่ว่า เมื่อเราให้ออกไป เราจะไม่มีวันขาดแคลน?
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. ค่านิยมของการให้คืออะไร?
ค่านิยมของการให้ตามพระคัมภีร์คือการแบ่งปันสิ่งที่เรามีด้วยใจยินดี เพื่อสะท้อนถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่เป็นผู้เริ่มต้นในการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
2. หลักการมานาในพระคัมภีร์มีความเกี่ยวข้องกับการให้อย่างไร?
หลักการมานาสอนว่าไม่ว่าเราจะเก็บได้มากหรือน้อย แต่เมื่อตวงแล้วทุกคนจะมีเพียงพอเสมอ เปาโลนำหลักการนี้มาใช้เพื่อสอนว่า เมื่อเราให้ด้วยใจยินดี พระเจ้าจะดูแลให้เรามีอย่างพอเพียงเสมอ
3. การให้ด้วยความเสียดายแตกต่างกับการให้ด้วยใจยินดีอย่างไร?
การให้ด้วยความเสียดายคือการให้ที่ยังมีความกลัวว่าจะขาดแคลน ในขณะที่การให้ด้วยใจยินดีคือการให้ที่มาจากความเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมให้เราอย่างพอเพียง
4. การให้คือการทำให้เรามีน้อยลงจริงหรือไม่?
ตามหลักการของพระเจ้า การให้ไม่ได้ทำให้เรามีน้อยลง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้พระพรของพระเจ้าไหลเข้ามาในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราได้เป็นช่องทางแห่งพระพรแก่ผู้อื่น
5. ทำไมเปาโลถึงยกตัวอย่างจากเรื่องมานามาสอนชาวโครินธ์?
เปาโลต้องการให้ชาวโครินธ์เข้าใจว่าหลักการของพระเจ้าในเรื่องความพอเพียงนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่สมัยโมเสสจนถึงปัจจุบัน และการเชื่อฟังพระเจ้าในการให้ จะทำให้เราไม่ขาดแคลนเลย
หากคุณกำลังมองหาบทเรียนชีวิตจากพระคัมภีร์ หรืออยากเข้าใจตัวเองและพระเจ้ามากขึ้น ติดตามบทความดีๆ แบบนี้ได้ที่ https://www.siamchristian.com
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com