คำเทศนา - การให้ ตอนที่ 2
คำเทศนาประจำวันที่ 20 กรกฎาคม 2568โดย ดร. จิโรจ บงกชมาศ
มัทธิว 10:5-8
สรุปคำเทศนา - การให้ ตอนที่ 2
ค่านิยมแห่งการให้ตามพระคัมภีร์: การให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน เพื่อความสุขที่แท้จริง
"การให้" เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่ได้รับการยกย่องในทุกวัฒนธรรม แต่สำหรับคริสเตียน "การให้" มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ไม่ใช่แค่การแบ่งปันสิ่งของหรือทรัพย์สิน แต่เป็นการสะท้อนหัวใจของพระเจ้า การให้ที่แท้จริงตามหลักพระคัมภีร์ไม่ได้มาจากความรู้สึกสงสาร ความอยากอวด หรือความกลัว แต่มาจากแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ซึ่งเปาโลได้วางแบบอย่างที่ชัดเจนไว้ให้เราในพระคัมภีร์กิจการ
ในพระธรรมกิจการ บทที่ 20 ข้อ 35 เปาโลได้กล่าวไว้ว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำแนะนำ แต่เป็นหลักการแห่งชีวิตที่เปาโลได้ใช้เป็นแบบอย่างตลอดเวลาสามปีที่เขาทำงานรับใช้ในเมืองเอเฟซัส การให้ในที่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเงินทอง แต่รวมถึงการให้เวลา กำลังกาย และความรัก โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นี่คือค่านิยมที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพระคัมภีร์ที่คริสเตียนทุกคนควรทำความเข้าใจและนำมาปรับใช้ในชีวิต
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงหลักการสำคัญของการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ เพื่อให้คุณได้เข้าใจถึงแรงจูงใจที่ถูกต้อง และรับความสุขที่แท้จริงจากการให้ที่คุณได้มอบออกไป
แบบอย่างแห่งการให้ที่แท้จริง: จากคำสอนของเปาโลถึงชีวิตของเรา
เมื่อเปาโลกล่าวลาผู้นำในเมืองเอเฟซัส เขากล่าวถึงการเป็นแบบอย่างที่เขาได้วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการให้ สิ่งที่เปาโลต้องการสอนไม่ใช่แค่การให้เพื่อถวายหรือเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่เป็น "การเป็นแบบอย่างในการให้" ให้กับคนอื่นๆ เหมือนที่เขาได้ทำมาแล้ว เปาโลรู้ดีว่าชีวิตคริสเตียนไม่ได้อยู่แค่ที่คำพูด แต่ต้องแสดงออกผ่านการกระทำ เปาโลจึงให้ความสำคัญกับการเป็นแบบอย่างในทุกเรื่องราวของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ การดำเนินชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่การตอบสนองต่อปัญหา
หลายคนอาจคิดว่า "ฉันไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นจะคิดยังไง" แต่พระคัมภีร์กลับสอนเราในทางตรงกันข้าม การเป็นแบบอย่างที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็นพยานชีวิตให้กับผู้อื่น ถ้าเราเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ทั้งในคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่การใช้เงิน ใช้เวลา นั่นอาจจะทำให้คนรอบข้างหันหลังให้กับความเชื่อที่เรายึดถือ พระคัมภีร์เตือนเราว่า เราต้องใส่ใจว่าคนอื่นมองเราอย่างไร เพราะพระเจ้าเองก็ทรงใส่ใจในแบบอย่างของชีวิตคริสเตียนของเรา
แรงจูงใจที่แตกต่าง: ใจแห่งการให้ที่แท้จริงมาจากไหน?
ทุกคนสามารถให้ได้ แต่เบื้องหลังการให้นั้นอาจมีแรงจูงใจที่แตกต่างกันออกไป ลองพิจารณาแรงจูงใจเหล่านี้แล้วสำรวจหัวใจของเราเอง:
- ให้เพราะความสงสาร: เห็นคนลำบากแล้วอยากช่วย
- ให้เพราะรู้สึกดี: ทำแล้วสบายใจ เป็นความสุขทางใจ
- ให้เพื่อโอ้อวด: ต้องการให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนใจบุญ
- ให้เพราะรู้สึกผิด: รู้สึกว่าคนอื่นให้แล้ว เรายังไม่ได้ให้
- ให้เพราะกลัวพระเจ้าลงโทษ: ให้เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีกับตัวเอง
- ให้เพราะต้องการจะรับพร: ให้เพราะเชื่อว่าจะได้รับพระพรตอบแทน
- ให้เพราะต้องการสะสมบำเหน็จในสวรรค์: มองว่าการให้เป็นการลงทุนเพื่อชีวิตนิรันดร์
- ให้เพราะใจขอบพระคุณ: ให้เพราะสำนึกในพระคุณของพระเจ้า
- ให้เพราะรักพระเจ้า: ให้เพราะรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า
- ให้เพราะรักคริสตจักรและผู้รับใช้: ให้เพื่อสนับสนุนงานของพระเจ้า
ไม่มีใครรู้แรงจูงใจที่แท้จริงในใจของเรา มีเพียงเรากับพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นในความเชื่อ แรงจูงใจของเราจะเปลี่ยนไปสู่การให้ที่มีใจบริสุทธิ์ตามแบบอย่างของพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยๆ
หลักการสำคัญของการให้: ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากมนุษย์
พระเยซูคริสต์ทรงสอนเรื่องการให้ไว้มากมาย แต่หนึ่งในหลักการที่สำคัญที่สุดคือ การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งไม่ใช่แค่การไม่หวังของขวัญหรือเงินทอง แต่เป็นการไม่คาดหวังใดๆ จากผู้ที่เราช่วยเหลือ
ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 10 ข้อ 5-8 พระเยซูทรงส่งสาวก 12 คนออกไปรับใช้ และสั่งพวกเขาอย่างชัดเจนว่า "ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็ให้เปล่าๆ" (Freely you have received, freely give) คำสั่งนี้หมายถึง:
- การให้ออกไปโดยไม่คาดหวังการจ่ายค่าตอบแทนใดๆ: เมื่อสาวกไปรักษาคนป่วย ขับผีออก หรือทำสิ่งอัศจรรย์ พวกเขาต้องไม่เรียกร้องเงินทองจากผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ
- การให้โดยไม่มีข้อแม้: สิ่งที่สาวกได้รับจากพระเจ้าคือพระคุณและฤทธิ์อำนาจโดยไม่ต้องจ่าย สาวกจึงต้องมอบสิ่งเหล่านี้ออกไปให้คนอื่นโดยไม่เรียกค่าตอบแทนเช่นกัน
การไม่คาดหวังจากมนุษย์ไม่ได้หมายความว่าเราจะคาดหวังจากพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์มีพันธสัญญามากมายที่สัญญาว่าพระเจ้าจะดูแลและอวยพรผู้ที่มีใจแห่งการให้ แต่การคาดหวังจากมนุษย์อาจนำไปสู่ความผิดหวังและความขมขื่นได้ในที่สุด เมื่อเราช่วยเหลือใครสักคนแล้วไม่ได้รับการตอบแทนตามที่คาดหวัง อาจทำให้เราท้อแท้และหยุดให้ในที่สุด
เปาโลเองก็เตือนเรื่องนี้ไว้ในข้อความที่เขาพูดกับผู้นำเอเฟซัส การที่เขาเตือนแบบนี้แสดงว่ามีโอกาสที่สาวกอาจจะพลาดไปจากหลักการนี้ พระเยซูจึงย้ำหลักการนี้ให้สาวกเข้าใจอย่างถ่องแท้
การให้ที่มาจากความเชื่อและพระพรของพระเจ้า
นอกเหนือจากการไม่คาดหวังการตอบแทนจากผู้ที่ช่วยเหลือแล้ว พระเยซูยังทรงท้าทายสาวกด้วยคำสั่งที่น่าทึ่งในมัทธิว บทที่ 10 ข้อ 9-11 พระองค์สั่งสาวกไม่ให้พกเงินทอง เสื้อผ้า หรือแม้แต่รองเท้าสำรองติดตัวไปในการเดินทาง แต่ให้ไปหาที่พักและอาหารฟรีจากบ้านที่เหมาะสมในเมืองนั้นๆ
คำสั่งนี้แสดงให้เห็นถึงหลักการที่ยิ่งใหญ่: เรามีหน้าที่ให้ออกไป และพระเจ้ามีหน้าที่เตรียมการเลี้ยงดูเรา พระเยซูทรงต้องการสอนให้สาวกวางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง และรู้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับพวกเขาอย่างอัศจรรย์
หลักการนี้ไม่เพียงใช้ได้กับการรับใช้ในสมัยนั้น แต่ยังใช้ได้กับชีวิตของเราในวันนี้ เมื่อเราให้สิ่งที่เรามีออกไปอย่างกว้างขวาง พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมและเติมสิ่งที่ขาดให้เราอย่างอัศจรรย์เช่นกัน
- ให้เวลาของคุณ: พระเจ้าจะให้เวลาที่เกิดผลในชีวิตของคุณ
- ให้เงินทองของคุณ: พระเจ้าจะเติมเงินทองและพระพรที่จำเป็นให้กับคุณ
- ให้บ้านของคุณ: พระเจ้าจะอวยพรบ้านของคุณและครอบครัวของคุณ
ใจที่กว้างขวางของพระเจ้าสะท้อนผ่านการให้ของเรา พระเยซูยังสอนให้สาวกให้พรแก่ครอบครัวที่เปิดบ้านต้อนรับพวกเขาด้วย (มัทธิว บทที่ 10 ข้อ 12-13) การอวยพรดูเหมือนเป็นเพียงคำพูด แต่สำหรับคริสเตียนแล้ว การอธิษฐานขอพระพรให้แก่ผู้อื่นคือการใช้สิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบให้
นั่นหมายความว่าเมื่อเราให้ เราไม่เพียงแต่ให้สิ่งของหรือการช่วยเหลือเท่านั้น แต่เรายัง ให้พระพร แก่ผู้ที่รับและผู้ที่ให้การช่วยเหลือเราด้วย เมื่อเราให้โดยมีใจที่กว้างขวาง พระพรของพระเจ้าก็จะไหลเวียนเข้ามาในชีวิตของเราไม่ขาดสาย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการให้ตามหลักพระคัมภีร์
1. การให้ที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์คืออะไร?
การให้ที่ถูกต้องคือการให้ด้วยแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อหวังผลประโยชน์หรือเพื่อโอ้อวด แต่ให้ด้วยความรักและความเชื่อในพระเจ้า
2. ทำไมคริสเตียนจึงต้องเป็นแบบอย่างในการให้?
การเป็นแบบอย่างที่ดีในการให้เป็นพยานถึงความเชื่อของเรา การกระทำของเราสามารถสื่อสารความรักของพระเจ้าให้คนอื่นเห็นได้ชัดเจนกว่าคำพูดเพียงอย่างเดียว
3. การให้เงินถวายในโบสถ์สำคัญอย่างไร?
การถวายเป็นการสำแดงความเชื่อและใจที่ขอบพระคุณต่อพระเจ้า เป็นการสนับสนุนงานของพระองค์และเป็นการมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวประเสริฐ
4. ควรให้มากแค่ไหน? มีสัดส่วนที่แน่นอนหรือไม่?
พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดตัวเลขที่ตายตัว แต่แนะนำเรื่องสิบลดหนึ่ง ซึ่งเป็นการให้ในส่วนแรกของรายได้ด้วยใจเต็มใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือแรงจูงใจในการให้ ไม่ใช่จำนวนเงิน
5. ถ้าเราให้แล้วไม่ได้รับการตอบแทน จะทำอย่างไร?
ตามคำสอนของพระเยซู เราควรให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากมนุษย์ แต่ให้คาดหวังจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว ความผิดหวังมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราคาดหวังจากคนอื่นที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเราวางใจในพระเจ้า เราจะได้รับการดูแลอย่างอัศจรรย์จากพระองค์
6. การให้มีส่วนช่วยให้เรามีความสุขได้อย่างไร?
การให้ทำให้เราหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัวและโฟกัสไปที่ผู้อื่น การให้ที่มาจากความรักจะนำมาซึ่งความอิ่มเอมใจและความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าการได้รับ
7. การให้กับการถวายต่างกันอย่างไร?
การให้เป็นคำที่กว้างกว่า หมายถึงการแบ่งปันสิ่งของ เวลา หรือความช่วยเหลือต่างๆ ให้กับผู้คนในทุกสถานการณ์ ส่วนการถวายมักจะหมายถึงการให้เงินทองหรือทรัพยากรแก่คริสตจักรหรือการรับใช้ของพระเจ้าโดยเฉพาะ
สรุป: ให้ด้วยใจกว้างขวาง เพื่อความสุขที่ยั่งยืน
การให้ที่แท้จริงตามพระคัมภีร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีมากหรือน้อย แต่ขึ้นอยู่กับว่า ใจของเรากว้างขวางเพียงใด เหมือนที่พระเยซูทรงสอนสาวก การให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนจากมนุษย์ คือการวางใจในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงว่าพระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราในทุกความจำเป็น
ขอให้เราเป็นแบบอย่างแห่งการให้ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ในเรื่องการเงิน แต่รวมถึงการให้เวลา กำลังกาย และคำหนุนใจ เพื่อให้เราได้สัมผัสกับความสุขที่ยั่งยืน และเป็นช่องทางแห่งพระพรที่ไหลเวียนไปสู่ผู้คนมากมาย
มาร่วมกันแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าในทุกเรื่องราวของชีวิต และให้พระองค์ทรงเป็นแรงจูงใจสูงสุดในการให้ของเรา เพื่อว่าทุกสิ่งที่เราให้จะนำเกียรติและสง่าราศีกลับคืนสู่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว เอเมน!
หากคุณกำลังมองหาบทเรียนชีวิตจากพระคัมภีร์ หรืออยากเข้าใจตัวเองและพระเจ้ามากขึ้น ติดตามบทความดีๆ แบบนี้ได้ที่ https://www.siamchristian.com
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com