พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> รู้จักพระเยซู - อายุ 31 ปี เดือนที่ 1 - 6

รู้จักพระเยซู

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

การทำพันธกิจปีที่ 2

 

 

การทำพันธกิจในปีที่ 2 นี้ พระเยซูได้ทำการสั่งสอนและทำการอัศจรรย์หลายอย่าง ทำให้พระเยซูเป็นที่รู้จักของคนยิวจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการมีชื่อเสียงของพระองค์ก็มีทั้งคนที่ชื่นชอบและคนที่อิจฉาพระองค์เช่นเดียวกัน

พระเยซูทรงย้ายไปอยู่เมืองคาเปอรนาอูม

(มัทธิว 4:12 - 17, ลูกา 4:31)

เมื่อพระเยซูทราบข่าวว่ายอห์นผู้ให้บัพติสมาถูกจับขังคุก พระองค์จึงย้ายจากเมืองนาซาเร็ธไปอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอูมที่อยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลีในเขตแดนเศบูลุนและ นัฟทาลี ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้บอกไว้ใน อิสยาห์ 9:1-2 ว่า

1 แต่เมืองนั้นที่อยู่ในสภาพโศกเศร้าจะไม่ทุกข์ระทมอีก ในกาลก่อนพระองค์ทรงให้แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีเป็นที่ดูหมิ่น แต่ในภายหลัง พระองค์จะทรงทำหนทางฝั่งทะเล และดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลีของบรรดาประชาชาตินั้นให้รุ่งโรจน์
2 ชนชาติที่ดำเนินในความมืด เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราช แสงสว่างส่องมาบนเขาทั้งหลาย

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://touristinisrael.wordpress.com/2016/09/19/maps-of-sea-of-galilee/sea-of-galilee-map/

พระเยซูทรงเรียกสาวก 4 คน

(มัทธิว 4:18 - 22, ลูกา 5:1 - 11)

แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นสาวกของพระเยซูก็ตาม แต่ต่างคนต่างก็ยังทำงานทำธุรกิจของตนอยู่ นี่จึงอาจจะเป็นการเรียกของพระเยซูที่ให้พวกเขาเป็นสาวกและติดตามพระเยซูแบบเต็มเวลาก็ได้

ที่ริมทะเลสาบเยนเนซาเรท ฝูงชนกำลังเบียดเสียดพระเยซูเพราะอยากฟังคำสอนของพระองค์ ใกล้ ๆ ที่นั้นมีเรือสองลำจอดว่างอยู่ พระเยซูจึงลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน และบอกให้เขาถอยออกจากฝั่งหน่อยหนึ่ง แล้วพระเยซูก็ทรงสั่งสอนฝูงชนบนเรือนั้น

พอสอนเสร็จพระเยซูก็บอกให้ซีโมนถอยเรือออกไปอีกหน่อยและหย่อนอวนลงจับปลา แต่ซีโมนบอกพระเยซูว่าจับมาทั้งคืนแล้ว ไม่ได้อะไรเลย แต่ก็จะลองทำตามที่พระเยซูบอกอีกที ผลก็คือซีโมนจับปลาได้เป็นจำนวนมากจนต้องเรียกเพื่อน ๆ ที่อยู่ในเรืออีกลำมาช่วย และก็ได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ และพระเยซูทรงเรียกซีโมนและอันดูรว์น้องชายของเขาที่อยู่ที่นั่นให้ติดตามพระเยซู รวมทั้งทรงเรียกยากอบและยอห์นบุตรของเศเบดีที่กำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้เป็นบิดาให้ติดตามพระองค์ด้วย ทั้ง 4 คนจึงละอวนและติดตามพระเยซูไปทันที

ชายที่มีผีโสโครก

(มาระโก 1:21 - 28)

หลังจากนั้นพระเยซูกับสาวกของพระองค์ก็เสด็จกลับไปยังเมืองคาเปอรนาอูม พอถึงวันสะบาโตพระเยซูก็เข้าไปเทศนาสั่งสอนในธรรมศาลา พระเยซูทรงสั่งสอนพวกเขาด้วยสิทธิอำนาจซึ่งแตกต่างจากการสอนของพวกธรรมาจารย์ มีผู้ชายคนหนึ่งที่มีผีโสโครกเข้าสิงก็ได้ร้องบอกพระเยซูว่ามายุ่งกับพวกมันทำไม พระองค์จะมาทำลายพวกมันหรือ เพราะมันรู้ว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูจึงสั่งให้มันนิ่งและให้ออกมาจากชายคนนั้น ผีก็ทำให้ชายคนนั้นก็ชัก ร้องเสียงดังและล้มลง แต่ไม่ได้ทำอันตรายเขาเลย แล้วผีโสโครกก็ออกมาจากผู้ชายคนดังกล่าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชื่อเสียงของพระเยซูเลื่องลือออกไปตลอดทั่วแคว้นกาลิลี เพราะพระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจเหนือผีมารวิญาณชั่วต่าง ๆ

การทรงรักษาคนจำนวนมากที่บ้านของซีโมน

(มาระโก 1:29 - 34)

เมื่อออกจากธรรมศาลาพระเยซูก็ตรงไปที่บ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมด้วยยากอบและยอห์น แม่ยายของซีโมนกำลังป่วยมีไข้อยู่ พระเยซูจึงทรงรักษาให้หาย เย็นวันนั้นจึงมีคนจำนวนมากพาคนป่วยและคนที่มีผีเข้ามาที่บ้านของซีโมน และพระเยซูก็ทรงรักษาคนเหล่านั้นให้หายจากโรคพร้อมทั้งขับไล่ผีต่าง ๆ ที่มารบกวนคนพวกนั้นด้วย และพระเยซูก็ได้ห้ามผีเหล่านั้นไม่ให้ประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า

 

การเดินทางเพื่อเทศนาสั่งสอนตามที่ต่าง ๆ ในแคว้นกาลิลี ครั้งที่ 1

พระเยซูทรงอธิษฐานและออกไปประกาศ

(มาระโก 1:35 - 39, ลูกา 4:42 - 44)

พอรุ่งเช้าพระเยซูจึงออกไปหาที่สงบและอธิษฐาน ซีโมนกับคนอื่น ๆ จึงออกไปตามหาพระองค์ เมื่อพบพระองค์ก็หน่วงเหนี่ยวไม่อยากให้พระเยซูจากไป แต่พระองค์บอกว่าพระองค์ต้องไปประกาศที่เมืองอื่น ๆ ด้วย จากนั้นจึงเสด็จไปตามธรรมศาลาต่าง ๆ ทั่วแค้วนกลาลิลีและแคว้นยูเดีย

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://www.bible-history.com/new-testament/jesus-begins-his-ministry.html

การทรงปรนนิบัติมวลชน

(มัทธิว 4:23 - 25)

พระเยซูเดินทางไปทั่วกาลิลีสั่งสอนประชาชนเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนเจ็บป่วยต่าง ๆ ให้หาย ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย จึงมีคนป่วยเป็นจำนวนมากรวมทั้งคนถูกผีสิงมาให้พระเยซูรักษาให้หาย และมีคนจากที่ต่าง ๆ จำนวนมากติดตามพระเยซู ไม่ว่าจะมาจากแคว้นกาลิลี แคว้นทศบุรี (Decapolis) แคว้นยูเดีย และประชาชนที่อยู่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก

การทรงรักษาคนโรคเรื้อน

(มัทธิว 8:1 - 4)

พอพระเยซูเสด็จลงจากภูเขา ก็มีฝูงชนจำนวนมากมาหาพระองค์ มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คนโรคเรื้อนในสมัยนั้นเป็นที่น่ารังเกียจของสังคมมาก ถ้าใครเป็นคนโรคเรื้อนจะต้องออกไปอยู่นอกเมือง และต้องตะโกนว่ามลทินตลอดทางที่ตัวเองเดินเพื่อคนอื่นที่รู้จะได้ไม่เข้าใกล้ เพราะเป็นโรคติดต่อ ชายคนนี้เป็นโรคเรื้อนทั้งตัวได้มาขอร้องให้พระเยซูรักษา เพราะเขามีความเชื่อว่าถ้าพระเยซูทรงโปรด เขาก็จะหายโรค พระเยซูทรงสงสารเขาจึงยื่นพระหัตถ์แตะต้องชายคนนั้นและตรัสว่า “เราพอใจแล้ว จงหายสะอาด” ทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หายไป พระเยซูไม่ได้รักษาแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ได้รักษาจิตใจของเขาด้วย เพราะพระเยซูทรงสัมผัสเขา แท้จริงแล้วแค่พระเยซูตรัสโรคนั้นก็หายได้ ไม่จำเป็นต้องแตะต้องตัวเขาเลย แต่พระองค์ทรงรู้ถึงความต้องการลึก ๆ ในใจของคนทุกคน ชายคนนี้ตั้งแต่ที่เป็นโรคเรื้อนก็มีแต่คนรังเกียจ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ชายคนนี้คงไม่ได้สัมผัสกับผู้คนมาเป็นเวลานาน และพระเยซูทรงเป็นคนแรกที่รักและไม่รังเกียจเขา หลังจากที่หายแล้วพระเยซูได้กำชับว่าอย่าไปบอกใคร แต่ให้ไปแสดงตัวแก่ปุโรหิตตามบัญญัติที่โมเสสได้สั่งไว้ และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายสะอาดแล้ว เพื่อยืนยันแก่คนทั้งปวง และจากนี้ไปเขาก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ชายคนนี้กลับประกาศข่าวนี้ไปทั่วจนพระเยซูไม่สามารถเสด็จเข้าเมืองนั้นได้ ต้องไปประทับนอกเมือง เพราะมีคนจากทั่วทุกทิศมาหาพระองค์ พระเยซูทรงต้องการความเป็นส่วนตัวด้วย เพราะพระองค์มักจะเสด็จไปอยู่ในที่เปลี่ยวเพื่อที่จะอธิษฐาน

การทรงรักษาคนง่อย

(มาระโก 2:1 - 12)

หลังจากผ่านไปหลายวัน พระเยซูทรงเสด็จกลับเข้าไปยังเมืองคารเปอรนาอูม ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ทรงอาศัยอยู่ พอคนรู้ว่าพระเยซูทรงอยู่ที่บ้าน คนจำนวนมากก็พากันไปหาพระเยซูจนล้นออกไปที่ประตูเพื่อที่จะฟังพระเยซูสั่งสอน ในจำนวนนั้นมีพวกฟาริสีและอาจารย์สอนธรรมบัญญัติมานั่งฟังด้วย มีคนสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาหาพระเยซู แต่เข้าไปไม่ได้เพราะคนแน่น พวกเขาจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าและเจาะช่องตรงที่พระเยซูประทับ และหย่อนคนง่อยลงมา เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของพวกเขา พระเยซูจึงตรัสกับคนง่อยว่า "ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” เมื่อพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้ฟังก็คิดในใจว่าพระเยซูพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะใครจะให้อภัยบาปได้นอกจากพระเจ้า แต่พระเยซูทรงทราบความคิดนั้น จึงบอกว่า เป็นการง่ายกว่าถ้าจะบอกให้คนง่อยยกแคร่และเดินไป แต่ที่พระองค์ต้องพูดว่าบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว ก็เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกนี้ที่จะยกโทษบาปได้ จากนั้นพระเยซูก็สั่งให้คนง่อยลุกขึ้นและยกที่นอนกลับบ้านไป คนง่อยก็ลุกขึ้นทันทีและยกที่นอนกลับบ้านไปพร้อมกับถวายเกียรติแด่พระเจ้า เมื่อคนทั้งปวงเห็นก็อัศจรรย์ใจและเต็มไปด้วยความเกรงกลัวเพราะได้เห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ และพากันสรรเสริญพระเจ้าที่ประทานสิทธิอำนาจนี้แก่มนุษย์

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://www.testifygod.org/jesus-calls-matthew.html

การทรงเรียกมัทธิว

(มาระโก 2:13 - 17)

หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามทะเลสาบอีก และก็มีฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป พระองค์จึงทรงสั่งสอนพวกเขา เมื่อพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไปก็ทรงทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งคือมัทธิวบุตรอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านภาษี (อีกชื่อคือเลวี) พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” มัทธิวก็ติดตามพระองค์ไป แล้วมัทธิวก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ที่บ้านของตน

 

ในงานมีทั้งคนเก็บภาษีกลุ่มใหญ่และคนอื่น ๆ ไปร่วมงานด้วย พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ก็บ่นกับสาวกของพระเยซูว่าทำไมพระองค์ถึงได้นั่งกินและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาป (ปกติคนคนยิวจะไม่ชอบคนเก็บภาษีเพราะรับใข้พวกโรมัน และหลายคนเก็บภาษีเกินกว่าที่โรมันกำหนด ทำให้คนเก็บภาษีฐานะจะค่อนข้างดี) พระเยซูได้ยินจึงตอบพวกเขาว่า คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยนั้นต้องการ พระเยซูยังได้ย้อนกลับพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ให้กลับไปศึกษาข้อพระคำใน โฮเชยา 6:6 ที่ว่า “เพราะเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา เราประสงค์ให้รู้จักพระเจ้า ยิ่งกว่าประสงค์เครื่องบูชาเผาทั้งตัว” และทรงบอกคนเหล่านั้นว่า พระองค์ไม่ได้มาเพื่อคนที่เรียกว่าตนเองชอบธรรม แต่พระองค์มาหาคนบาป

ถามพระเยซูเรื่องการถืออดอาหาร

(มัทธิว 9:14, ลูกา 5:33 – 39)

ขณะนั้นสาวกของยอหน์กับพวกฟาริสีกำลังถืออดอาหาร (ในสมัยก่อนคนยิวอดอาหารเมื่อมีความทุกข์ เมื่อต้องการพระเมตตาจากพระเจ้า หรือบางคนก็อดอาหารเป็นประจำ เช่น สาวกของยอห์น หรือพวกฟาริสีที่อดอาหารอาทิตย์ละ 2 หน (ลูกา 18:12)) ก็มีบางคนมาถามพระเยซูว่าทำไมศิษย์ของพระองค์ไม่ถืออดอาหารเหมือนคนอื่น ๆ พระเยซูทรงตอบเป็นคำอุปมาว่าจะให้แขกของเจ้าบ่าวอดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่ได้อย่างไร แต่เมื่อเจ้าบ่าวถูกนำตัวไปเมื่อไร เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่พวกเขาจะถืออดอาหาร (ในสมัยพระเยซูเจ้าบ่าวจะมารับตัวเจ้าสาวที่บ้านเจ้าสาว และจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองที่นั่น งานเลี้ยงอาจจะยาวหลายวัน เพราะอาจจะต้องรอเพื่อนหรือญาติเดินทางมาจากที่ไกล ดังนั้นในงานเลี้ยงนี้จึงไม่มีการอดอาหาร) จากนั้นพระเยซูได้ยกคำอุปมาเปรียบเทียบว่าไม่มีใครเอาผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่จะหดทำให้เสื้อเก่าขาด หรือว่าไม่มีใครเอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ถุงหนังเก่า เพราะมันจะกัดจนถุงหนังขาด น้ำองุ่นก็รั่ว ถุงหนังก็เสียหาย จะต้องเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่เท่านั้น พระเยซูกำลังเล็งถึงคำสอนของพระองค์ เพราะในยุคตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมเป็นยุคของธรรมบัญญัติ เรารอดได้เพราะทำตามธรรมบัญญัติ แต่พระเยซูทรงนำสิ่งใหม่มา ทำให้เราเข้าสู่ยุคแห่งพระคุณ เพียงแค่เราเชื่อ เราก็รอดได้ ดังนั้นคำสอนของพระเยซูจึงไม่สามารถเอาไปประพฤติรวมกับคำสอนเดิมได้ แต่พระเยซูไม่ได้มาล้มล้างธรรมบัญญัติ พระองค์มาทำให้สมบูรณ์ขึ้น

การทรงรักษาโรคที่สระน้ำ

(ยอห์น 5:1 - 18)

เมื่อถึงเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงเสด็จจากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งน่าจะเป็นการไปร่วมเทศกาลปัสกาครั้งที่ 2 ของพระเยซูที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ ในกรุงเยรูซาเล็มมีสระน้ำแห่งหนึ่งชื่อเบธซาดา ซึ่งคนยิวเชื่อว่ามีทูตสวรรค์ของพระเจ้าลงมากวนน้ำเป็นครั้งคราว และเมื่อน้ำกระเพื่อม ใครที่ก้าวลงไปในน้ำนั้นก็จะหายโรค ที่สระน้ำเบธซาดานี้มีศาลาอยู่ 5 หลัง แต่ละหลังเต็มไปด้วยคนเจ็บป่วยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคนตาบอด คนง่อย คนอัมพาต เป็นต้น พระเยซูเสด็จไปและพบชายคนหนึ่งนอนป่วยมา 38 ปีแล้ว พระเยซูถามชายคนนั้นว่าอยากหายโรคไหม ชายคนนั้นบอกว่าเวลาน้ำกระเพื่อมไม่มีใครพาเขาลงไป พอเขาจะลงคนอื่นก็ลงไปแล้ว พระเยซูจึงสั่งเขาให้ลุกขึ้นและยกแคร่เดินไป ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติทันที

แต่เนื่องจากวันนั้นเป็นวันสะบาโตซึ่งเป็นวันพักผ่อนของคนยิว ห้ามทำงาน คนยิวจึงกล่าวหาว่าการที่ผู้ชายคนนั้นแบกแคร่เดินไปถือว่าทำผิดธรรมบัญญัติ แต่ชายคนนั้นบอกว่าคนที่รักษาเขาสั่งให้แบกแคร่เดินไป ซึ่งคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ เพราะพระเยซูเสด็จจากไปแล้ว แต่ต่อมาพระเยซูทรงพบชายคนนั้นในพระวิหาร จึงบอกกับชายคนนั้นว่า ตอนนี้ท่านหายโรคแล้ว อย่ากลับไปทำบาปอีก ไม่เช่นนั้นอาจจะมีเรื่องเลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้นกับเขา ด้วยเหตุนี้พวกยิวจึงเริ่มต้นข่มเหงพระเยซู เพราะพระองค์ทรงรักษาคนในวันสะบาโต แต่พระเยซูกลับตอบว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อย ๆ และเราก็ทำด้วย” ทำให้พวกยิวคิดที่จะฆ่าพระเยซู เพราะไม่ใช่แค่รักษาคนในวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา ซึ่งคนยิวถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า

สิทธิอำนาจของพระบุตร

(ยอห์น 5:19 - 29)

พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ แต่พระองค์จะทำสิ่งที่พระบิดาได้กระทำ เพราะความรักที่พระบิดามีต่อพระบุตร จึงได้สำแดงทุกอย่างที่ทรงกระทำให้พระบุตรได้เห็น พระบิดาได้กระทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาฉันใด พระบุตรก็จะประทานชีวิตให้แก่คนที่ท่านต้องการเหมือนกัน พระเยซูบอกว่าพระเจ้าได้มอบให้พระเยซูเป็นผู้พิพากษา เพื่อทุกคนจะได้ถวายเกียรติแด่พระองค์เหมือนที่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และถ้าใครฟังคำที่พระเยซูตรัส วางใจในพระองค์ คนนั้นก็ไม่ถูกพิพากษา จะไม่ตาย แต่จะมีชีวิตนิรันดร์ และเวลานั้นก็ใกล้มาถึงแล้ว คือเวลาที่คนตายจะได้ยินเสียงพระบุตร คนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพที่ได้ยินเสียงพระบุตร จะออกจากอุโมงค์ คนที่ทำดีก็ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ส่วนคนที่ทำชั่วก็ต้องถูกพิพากษา

บรรดาพยานของพระเยซู

(ยอห์น 5:30 - 47)

พระเยซูย้ำอีกครั้งว่าพระองค์ไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ แต่ทำทุกสิ่งตามที่พระเจ้าบอกให้ทำ เรื่องการพิพากษา พระองค์ได้ยินอย่างไร ก็จะพิพากษาอย่างนั้น พระเยซูบอกว่ายอห์นเป็นพยานถึงเรื่องของพระเยซู และพวกท่านก็ยินดีกับคำพยานนั้นชั่วขณะหนึ่ง แต่คำพยานของพระเยซูยิ่งใหญ่กว่าของยอห์น เพราะพระเยซูทรงเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงใช้พระองค์มาเพื่อช่วยพวกท่านให้รอด และงานที่พระเยซูกำลังทำอยู่นี้ก็เป็นพยานให้กับพระองค์ว่าพระเจ้าทรงใช้พระองค์มา พระเยซูตำหนิคนยิวที่ไม่วางใจในพระองค์เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์ แต่กลับไปหาชีวิตนิรันดร์ในพระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าถ้าคนเหล่านั้นเชื่อโมเสส ก็น่าจะเชื่อพระเยซู เพราะโมเสสก็เป็นพยานของพระเยซูเหมือนกัน ทุกสิ่งที่โมเสสเขียนล้วนแล้วแต่เล็งถึงพระเยซูทั้งสิ้น

 

<<  ย้อนกลับ | หน้าถัดไป   >>

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com